5. รูปลักษณ์ของธุรกิจภายหลังจากการปรับเปลี่ยน
Business Aspect After Digital
Transformation
แนวคิดธุรกิจใหม่ตามที่นำเสนอมานี้
เป็นลักษณะของธุรกิจที่ทำธุรกรรมในแบบร่วมมือกัน (Collaborative Model) ไม่ใช่อาศัยความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายที่เน้นการซื้อขาย
(Transactional) แต่เป็นลักษณะรวมตัวเป็นเครือข่ายเพื่อร่วมกันสร้างคุณค่า
(Value co-creation) โดยด้านผู้ขายก็จะมีเครือข่าย ประกอบด้วยผู้ขายหลักและพันธมิตร
ในขณะที่ผู้ซื้อก็เป็นเครือข่ายประกอบด้วยลูกค้ากับลูกค้าของลูกค้า
ทั้งหมดเชื่อมโยงกันเพื่อร่วมกันสร้างคุณค่าตามบริบทของผู้เกี่ยวข้อง
Collaborative Model ลักษณะนี้ไม่ใช่ของใหม่ แต่เราเริ่มมาตระหนักถึงความสามารถและโอกาสในการพัฒนาธุรกิจยุคใหม่
Vargo และ Lusch[1] ผู้ชำนาญการด้านทฤษฎีการตลาดสมัยใหม่ได้อ้างอิงถึงหนังสือเรื่อง
The Republic ที่ Plato เขียนไว้กว่าสองพันปีว่า
“การเกิดแห่งรัฐนั้นมาจากความต้องการของมนุษย์
คนเราไม่สามารถทำเองได้ทุกเรื่อง แต่คนเรามีความต้องการมากเรื่อง
และเมื่อเรามีความต้องการมาก จึงจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น
คนหนึ่งช่วยทำเรื่องหนึ่ง ในขณะที่อีกคนก็ทำอีกเรื่องหนึ่ง
และเมื่อทุกคนอยู่รวมกันเพื่อทำกิจกรรมช่วยเหลือกันและกัน ก็จะเกิดเป็นชุมชน
การรวมตัวของชุมชนกลายเป็นรัฐ คนเหล่านี้แลกเปลี่ยนในสิ่งที่ต้องการ
คนหนึ่งให้ในขณะที่อีกคนหนึ่งรับ
การแลกเปลี่ยนกันทำให้ทุกคนได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการได้” ข้อความนี้ตีความหมายได้ชัดเจนว่า
การรวมตัวของกลุ่มคนที่มีทรัพยากรที่แตกต่างกันและหลากหลาย เมื่อมีโอกาสแลกเปลี่ยนและช่วยเหลือกัน
ย่อมสามารถตอบโจทย์และสนองความต้องการของกันและกันได้ ธุรกิจรูปแบบใหม่ในลักษณะ Collaborative
Model หลัง Plato กว่าสองพันปีได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยีดิจิทัลที่ช่วยเชื่อมโยงคนทุกคน
และสามารถทำกิจกรรมแบบปฏิสัมพันธ์กันได้อย่างใกล้ชิด เพื่อทำธุรกิจในแบบที่แลกเปลี่ยนบริการและทรัพยากรระหว่างกันเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตัวอย่างเกี่ยวกับธุรกิจจำหน่ายเครื่อง
PM2.5
Detector ที่ได้กล่าวถึงในตอนที่แล้วนั้น ก็ถูกพัฒนาจากความคิดนี้ ลูกค้าที่สนใจดูแลสุขภาพตนเองและคนใกล้ชิดมีความต้องการมากมายในเรื่องมาตรการป้องกันภัยจากฝุ่น
เช่น นอกจากต้องการเครื่องวัดปริมาณฝุ่น ยังต้องการอุปกรณ์กรองอากาศ
เครื่องปรับอากาศ ไส้กรองอากาศ หน้ากากอนามัย รวมทั้งบริการต่าง ๆ
ที่จะช่วยทำความสะอาดอุปกรณ์ และบริการแนะนำการรับมือกับสถานการณ์เมื่อเกิดปัญหาด้านสุขภาพที่มาจากฝุ่น
ความต้องการเหล่านี้ไม่สามารถรับบริการได้จากผู้ประกอบการเพียงรายเดียว
จำเป็นต้องมีพันธมิตรที่มีความรู้และทักษะด้านต่าง ๆ มาร่วมมือกัน จึงจะตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายได้ครบถ้วน
ในยุคก่อนการปรับเปลี่ยน (Transformation) ธุรกิจสนใจแค่สินค้าที่ตนผลิตและจัดจำหน่าย
ปล่อยให้การสรรหาความต้องการที่หลากหลายเป็นภาระของลูกค้า แต่ภายหลังการปรับเปลี่ยน
ธุรกิจรับหน้าที่เป็นศูนย์กลางของ เครือข่ายช่วยเชื่อมโยงผู้ที่มีทรัพยากรมารวมกันสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้าแทน
การรวมตัวกันของกลุ่มพันธมิตรธุรกิจเพื่อร่วมกันสร้างคุณค่าเช่นนี้
เป็นรูปแบบธุรกิจใหม่เรียกว่าระบบสร้างคุณค่า (Value Creating System) ข้อเสนอของกลุ่มผู้ประกอบการในระบบสร้างคุณค่าจะกว้าง
(ความหลากหลายของสินค้าและบริการ) และลึก
(Function/Feature และ Density of Value ของสินค้าและบริการ) เพียงใดนั้น ธุรกิจเป็นผู้กำหนดขึ้นตามกรอบธุรกิจที่แสดงในรูปที่
1
รูปที่ 1 แสดงกรอบของธุรกิจตามแนวคิดใหม่ของการสร้างคุณค่า
ธุรกิจยุคใหม่ถึงแม้จะปรับตัวเองให้เป็นผู้จัดการระบบสร้างคุณค่าให้ลูกค้า
แต่พื้นฐานของธุรกิจยังไม่เปลี่ยน คือยังคงผลิตสินค้า
จัดจำหน่ายสินค้าหรือบริการเหมือนที่เคยทำมา เช่นจำหน่ายเครื่อง PM2.5
Detector ดังที่แสดงเป็นวงกลมวงในของรูปที่ 1 แต่ตามแนวคิดการสร้างคุณค่า
Value-in-use ธุรกิจอาจทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสรรหาวิธีการและทรัพยากรเพื่อสนับสนุนลูกค้าสร้างคุณค่า
ด้วยกลุ่มสินค้าและบริการเสริม (Complementary) เช่น
ไส้กรองอากาศ หน้ากากอนามัย
และบริการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศและเครื่องกรองอากาศ ตามที่แสดงเป็นวงกลมที่ 2
ของรูปที่ 1 นอกจากนี้ ธุรกิจยังต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าในเชิงกว้างและลึก
และความต้องการของอนาคตที่ไกลออกไป ในกรณีตัวอย่างการขายเครื่องวัดปริมาณฝุ่น
ธุรกิจอาจสนใจเพิ่มบริการในด้านดูแลรักษาสุขภาพของลูกค้าและคนในครอบครัว เช่น การเข้าถึงบริการปรึกษาแนะนำและรักษาจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์
หรือบริการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดอันตรายจากฝุ่นให้มากที่สุดทั้งในปัจจุบันและวันข้างหน้า
ซึ่งหมายถึงโอกาสของธุรกิจจะเพิ่มขึ้นตามที่แสดงเป็นวงกลมที่ 3 ของรูปที่ 1 ธุรกิจจะใช้กรอบของธุรกิจตามแนวคิดใหม่นี้
กำหนดยุทธศาสตร์ในมิติที่เกี่ยวข้องกับข้อเสนอ (Offering) ประกอบด้วยนวัตกรรมด้านสินค้าและบริการ
แต่การพัฒนาแนวคิดของธุรกิจยุคใหม่ยังต้องปรับเปลี่ยนมิติอย่างน้อยอีกสองมิติ
ได้แก่มิติด้านการเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ (Resource Accessibility) ซึ่งเป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดการทรัพยากรภายในองค์กรและกระบวนการทำงาน
(Organizational Structural
Innovation) และมิติด้านนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการสร้างคุณค่าและ Customer
Experiences ทั้งในทางลึกและทางกว้างให้แก่ลูกค้า ที่จะบรรยายในหัวข้อเรื่องปรับเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์
(Strategic Transformation) ต่อไป
5.1. องค์ประกอบของระบบสร้างคุณค่า
ระบบสร้างคุณค่า คือรูปแบบธุรกิจที่ถูกออกแบบให้ทำธุรกรรมในลักษณะของ
Collaborative Model โดยมีผู้เกี่ยวข้องร่วมมือกันเป็นเครือข่ายเพื่อสร้างคุณค่าร่วมกัน
(Value Co-creation)
เป็นธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและพันธมิตรมากกว่าการเพียงขายสินค้าให้ได้กำไร
ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณค่าของการใช้สินค้า มากกว่าคุณค่าในตัวสินค้า
ตามที่ได้บรรยายมาแล้ว ธุรกิจในรูปแบบสร้างคุณค่าจะรวมระบบห่วงโซ่คุณค่า (Value
Chain) หรือกระบวนการสร้างคุณค่า (Value Creation Process) ของลูกค้าเข้ามาอยู่ในกรอบธุรกิจด้วย โครงสร้างของระบบสร้างคุณค่าที่แสดงในรูปที่
2 มีส่วนประกอบสำคัญสี่ส่วนคือ
(1) เครือข่ายด้านผู้ขาย (2) เครือข่ายด้านผู้ซื้อ
(3) กระบวนการสร้างคุณค่าของลูกค้า และ (4) ส่วนบริการที่ปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความใกล้ชิด
ระบบสร้างคุณค่าที่กล่าวนี้ใช้เป็นแบบอ้างอิง (Reference Model) เพื่อออกแบบระบบธุรกิจในบริบทต่าง ๆ ตามที่จะอธิบายในรายละเอียดต่อไป
รูปที่ 2 แสดงโครงสร้างของธุรกิจในรูปแบบของระบบสร้างคุณค่า
(Value Creating System Reference Model)
1) เครือข่ายของผู้ประกอบการ
ส่วนที่อยู่ด้านซ้ายของรูปที่ 2 เป็นเครือข่ายของผู้ประกอบการ ประกอบด้วยผู้ประกอบการหลักและพันธมิตร เป้าหมายของผู้ประกอบการคือผลิตสินค้าและบริการเพื่อสนับสนุนลูกค้าสร้างคุณค่าผ่านห่วงโซ่อุปทานของตนเอง
สินค้าและบริการจึงเป็นอินพุตของกระบวนการสร้างคุณค่าของลูกค้า
เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ เราเรียกสินค้าและบริการเป็นทรัพยากรประเภทที่ถูกใช้ (Operand
Resources) แต่ทรัพยากรที่จะทำให้เกิดคุณค่าคือกลุ่มทรัพยากรที่ใช้สินค้าและบริการ
ซึ่งก็คือบริการที่ใช้ความรู้และทักษะ หรือ Operant Resources การแยกทรัพยากรออกเป็นสองชนิดเช่นที่กล่าวมีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ เนื่องจากธุรกิจได้เปลี่ยนมาให้ความสำคัญที่การใช้สินค้าแทนตัวสินค้า
ทรัพยากรอินพุตที่เข้าสู่กระบวนการใช้ (Value-in-use)
จึงมีความสำคัญมากกว่าตัวสินค้าซึ่งเป็นเอาต์พุตที่ออกจากกระบวนการผลิต
(Value-in-exchange) เมื่อความต้องการของมนุษย์มีไม่จำกัด ธุรกิจก็มีโอกาสอย่างไม่จำกัดเช่นกันในการสร้างนวัตกรรมที่เป็นทรัพยากรแบบ
Operant สนองความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้
ขึ้นอยู่ความสามารถและกลยุทธ์ของแต่ละธุรกิจในการระดมทรัพยากรทั้งของตนเองและจากพันธมิตร
และโอกาสได้เปิดให้แล้ว
2) เครือข่ายของลูกค้า
ด้านขวามือของรูปที่ 2 แสดงเครือข่ายของผู้ซื้อประกอบด้วยตัวลูกค้าหลักและลูกค้าของลูกค้า ในบางกรณีลูกค้าอาจไม่ใช่ด่านสุดท้ายของการรับรู้คุณค่า
เช่นกรณี B2B ลูกค้าซื้อสินค้าและบริการเพื่อนำไปสร้างคุณค่าให้ลูกค้าของลูกค้า
หรือกรณี B2C ลูกค้าอาจสร้างคุณค่าเพื่อประโยชน์ของสมาชิกในครอบครัว
จึงสรุปได้ว่ากระบวนการสร้างคุณค่าของลูกค้าจะมีลักษณะเป็นเครือข่ายประกอบด้วย Value
Chain ของตัวเองและของลูกค้าของลูกค้าด้วย
ทั้งนี้เป็นเพราะการสร้างคุณค่าแบบ Value-in-use นั้น
คุณค่ามักจะรวมถึงคุณค่าของบุคคลที่สามจึงจะทำให้ลูกค้าได้คุณค่าและ Customer
Experience ที่สมบูรณ์ บ้านจะมีคุณค่าต่อเมื่อมีผู้อยู่อาศัย
อาหารสดที่ซื้อมามีคุณค่าก็ต่อเมื่อถูกนำไปปรุงเพื่อรับประทานโดยเฉพาะร่วมกับสมาชิกในครอบครัว
รถที่ซื้อมาจะมีคุณค่าต่อเมื่อได้ใช้สัญจรเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง
หนังสือจะมีประโยชน์ต่อเมื่อมีผู้นำไปอ่าน ภาพยนตร์มีประโยชน์ต่อเมื่อมีผู้ชมหลาย
ๆ คน ตู้เอทีเอ็มมีคุณค่าต่อเมื่อมีผู้ใช้ฝากถอนเงิน
บริการของทางราชการทุกชนิดจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมีประชาชนใช้บริการ นี่เป็นเหตุผลที่มีคนกล่าวว่า
ภายใต้ธุรกิจรูปแบบ Collaborative Model นั้น ความแตกต่างระหว่างผู้บริการและผู้ให้บริการ
หรือผู้ซื้อผู้ขาย เริ่มไม่ชัดเจน เนื่องจากความสัมพันธ์ที่โยงกันเป็นเครือข่ายภายในระบบสร้างคุณค่านี้
ต่างคนต่างมีทรัพยากรที่เสนอให้แก่กันและกัน
กิจกรรมทางธุรกิจภายในระบบสร้างคุณค่าจึงเป็นการแลกเปลี่ยนบริการ (Service
Exchange) เพื่อสร้างคุณค่าระหว่างกัน
เครือข่ายของลูกค้าจึงไม่แตกต่างจากเครือข่ายของธุรกิจ
ต่างกันเพียงแค่เป้าหมายและวัตถุประสงค์ อีกทั้งการสรรหาคุณค่าและ Experiences
นั้นแตกต่างกันเท่านั้น
3) กระบวนการสร้างคุณค่าของลูกค้า
กระบวนการสร้างคุณค่า (Value
Creation Process) ของลูกค้า
เป็นกิจกรรมที่ลูกค้าต้องทำเพื่อสร้างคุณค่าจากสินค้าและบริการที่ซื้อไปให้ตัวเอง (Customer
is the value creator) กิจกรรมมีตั้งแต่สิ่งที่ต้องทำก่อนซื้อ ระหว่างซื้อ
และภายหลังจากได้ซื้อสินค้าแล้วและเข้าสู่กระบวนการใช้เพื่อให้ได้คุณค่าตามความประสงค์
การทำงานทุกขั้นตอนต้องอาศัยสติปัญญาและความรู้รวมทั้งประสบการณ์ ที่เรียกว่า Operant
Resources ถ้าระดม Operant Resources ได้ยิ่งมากจากทั้งของตนเองและของผู้ประกอบการ
ลูกค้าก็จะยิ่งได้คุณค่าจากสินค้าได้มาก ธุรกิจจึงเปลี่ยนมาแข่งขันกันที่กระบวนการสร้างคุณค่าของลูกค้า
ใครเข้าใจกระบวนการสร้างคุณค่าของลูกค้าได้ลึกซึ้งกว่าและกว้างขวางกว่า อีกทั้งรู้ประเด็นปัญหาที่ลูกค้ามีในกระบวนการสร้างคุณค่า
ย่อมจะมีโอกาสดีที่หามาตรการช่วยแก้ไขปัญหาด้วยบริการและระดม Operant
Resources เพื่อนำเสนอให้ลูกค้า การแข่งขันได้เปลี่ยนจากตัวสินค้าและราคามาเป็นการแข่งขันด้วยสติปัญญา
สนับสนุนให้ลูกค้าได้คุณค่าจากสินค้า กระบวนการสร้างคุณค่าของลูกค้าจึงเป็นเป้าหมายของการสร้างนวัตกรรมบริการ
และพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อเน้นให้เกิดคุณค่าในฝั่งเครือข่ายของลูกค้า
4) ส่วนบริการที่ปฏิสัมพันธ์กันเพื่อสร้างความใกล้ชิด
ธุรกิจรูปแบบใหม่ที่กล่าวนี้ ความสัมพันธ์กับลูกค้ามีความสำคัญมากกว่าตัวสินค้า
ความสัมพันธ์ที่ดีนำไปสู่ความไว้วางใจกัน ซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างคุณค่าร่วมกัน (Value
Co-creation) เนื่องจากการสร้างคุณค่าร่วมกันนั้นเกิดจากการแลกเปลี่ยนบริการ
และบริการเป็นการปฏิสัมพันธ์ (Interactive) ระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ
ความสามารถออกแบบการปฏิสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้าจึงเป็นปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จของธุรกิจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ กลยุทธ์ของการสร้างคุณค่าจึงเป็นมาตรการเกี่ยวกับส่วนต่อประสาน
(Interfaces) ที่มีกับลูกค้าและตัวละคร (Actors) ในระบบธุรกิจ การคิดค้นวิธีการต่อประสานกัน (Interface) คือการประดิษฐ์คิดค้นวิธีสร้างคุณค่า (Inventing Value) ด้วยวิธีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องนั่นเอง
การออกแบบระบบบริการที่ทำงานปฏิสัมพันธ์กัน
(Interactive
Design) เป็นรูปแบบของนวัตกรรมบริการดิจิทัลที่มุ่งสร้างความเข้มข้นของคุณค่า
(Value Density)
การออกแบบบริการแบบปฏิสัมพันธ์ยิ่งทำได้ดีระหว่างกลุ่มผู้ที่มีส่วนได้เสียภายในเครือข่าย
ยิ่งจะเป็นผลให้เกิดการสร้างคุณค่ามากขึ้น (เราจะพูดถึงวิธีออกแบบบริการด้วยการปฏิสัมพันธ์ในหัวข้อ
Service Blueprinting ในโอกาสต่อไป) นอกจากนี้ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด
ทำให้เกิดการเรียนรู้
ธุรกิจมีโอกาสได้เรียนรู้ประเด็นปัญหาและความต้องการของลูกค้าและลูกค้าของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและลึกซึ้ง
ทั้งในช่วงระยะสั้นและระยะยาว
ข้อมูลที่เรียนรู้จากลูกค้าเป็นทรัพยากรสำคัญนำไปสู่การพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ
ที่ตอบโจทย์ลูกค้าและลูกค้าของลูกค้าได้ตรงประเด็นและต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ธุรกิจกำหนดกลยุทธ์ในเชิงทำ
Co-production และ Co-creation กับลูกค้าดังนี้
· ผลจากการปฏิสัมพันธ์นำไปสู่การพัฒนาสินค้าและบริการ
(Operand
Resources) เป็นการพัฒนาข้อเสนอบนพื้นฐานของการรับฟังปัญหาและความต้องการจากลูกค้าโดยตรง
ไม่ได้พัฒนาขึ้นจากความคิดของผู้ผลิตโดยลำพังเหมือนในอดีต เรียกกระบวนการทำให้เกิดผลเช่นที่กล่าวว่า
การผลิตข้อเสนอ (Offerings) แบบร่วมกันผลิต (Co-production of Offerings)
· ผลจากการปฏิสัมพันธ์นำไปสู่การพัฒนาการบริการเสริมที่ต้องอาศัยประสบการณ์
ความรู้ และทรัพยากรด้านดิจิทัลที่ทันสมัย เป็น Operant Resources ที่ใช้สนับสนุนกระบวนการสร้างคุณค่าให้ลูกค้าร่วมกับลูกค้า
เรียกผลอันนี้ว่าเป็นการผลิตข้อเสนอ (Offerings) ที่นำไปร่วมสร้างคุณค่ากับลูกค้า
(Co-creation of Value)
โครงสร้างของระบบสร้างคุณค่าที่กล่าวข้างต้น
ถือได้ว่าเป็นแนวคิดและองค์ประกอบของธุรกิจยุคใหม่ ธุรกิจจะกำหนดทั้งผู้สนับสนุนและผู้รับประโยชน์ตามข้อเสนอ
(Value
Propositions) ที่ได้กำหนดไว้ Value Propositions ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมในด้านรูปแบบธุรกิจ
(Business Model Innovation) และนำไปสู่การพัฒนา Operand และ Operant Resources หรือสินค้าและบริการต่าง ๆ
ที่อาศัยทักษะและความรู้ การที่ธุรกิจปรับเปลี่ยนรูปแบบการค้าขายจาก Product-Centric
มาเป็น Customer-Centric จึงเป็นเรื่องของการออกแบบระบบธุรกิจใหม่ที่มีโครงสร้างและองค์ประกอบตามที่ปรากฏในรูปที่
2 ดังนั้น รูปแบบแนวคิดของระบบสร้างคุณค่าในรูปที่ 2 จึงถือได้ว่าเป็นแบบอ้างอิง (Reference Model) เพื่อใช้ออกแบบระบบธุรกิจที่ทำธุรกิจแบบ
Collaborative Model ที่เน้นการสร้างคุณค่าร่วมกัน (Value
Co-creation) เพื่อให้ได้ Value-in-use และ Customer
Experience แก่ลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้อง
Note: ตอนที่ 5 นี้มีเนื้อหาค่อนทางยาว จึงขอแบ่งนำเสนอเป็นสองส่วน ส่วนที่ 2 เป็นเรื่องการออกแบบระบบ Value Creating System ด้วย Value Constellation Design Pattern จะนำเสนอใน Post ค่อไป
[1]
Vargo, S., Lusch, R., “It’s all B2B…and beyond: Toward a systems perspective of
the market”, Industrial Marketing Management, p. 181-187, 21 July 2010.
No comments:
Post a Comment