Wednesday, January 30, 2013

คลาวด์ แพลตฟอร์มใหม่สำหรับธุรกิจ (Business Platform) ตอนที่ 6



ตอน บทบาทของ Cloud computing กับ Business Platform

            บทความตอนที่แล้ว อธิบายเรื่องเทคนิคการออกแบบเพื่อตอบสนองความหลากหลายด้านคุณค่าของลูกค้า โดยอาศัยหลักการความหนาแน่น (Density Principles) นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการออกแบบที่คำนึงถึงการรับมือกับผลที่ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้า (Emergent value) เนื่องจาก ความต้องการของลูกค้ามีลักษณะเป็น Value in-context บทความตอนใหม่นี้ จะพูดถึง Platform based software และบทบาทของ Cloud computing ที่สนับสนุนการทำงานของแพลตฟอร์ม (Platform)

การออกแบบเพื่อทำงานแบบปฏิสัมพันธ์ (Design for interactional application)
            ตามที่ได้กล่าวมาแล้วตอนก่อนว่า การออกแบบระบบสนับสนุนการทำงานแบบ Co-creation of value ในฝั่ง Front office นั้น ต้องคำนึงถึงการเกิดคุณค่าในขณะที่ลูกค้าใช้บริการ  คือคุณค่าที่เกิดขึ้นภายในระบบสร้างคุณค่าของลูกค้า (Value creating system)  เนื่องจากคุณค่าที่กล่าว มีลักษณะเป็น  Value in-context จึงไม่สามารถเขียนโปรแกรมดักหน้าไว้ก่อนได้ ระบบ Front office ที่รองรับ Value co-creation จึงมีลักษณะแตกต่างจากระบบ Back office  นอกจากนี้ งานที่เกิดจากการปฏิสัมพันธ์กัน ยังมีได้หลายระดับ คือมีผู้เกี่ยวข้องไม่เพียงแค่ผู้ให้บริการและผู้รับบริการสองต่อสอง ยังอาจมีพันธมิตรที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ผลลัพธ์จึงขึ้นอยู่กับผลของการปฏิสัมพันธ์  ด้วยเหตุนี้ คุณสมบัติของระบบซอฟต์แวร์ที่ทำงานแบบ Multi-levels interaction จึงไม่สามารถถูกออกแบบให้เป็น Business processes ที่ทำงานภายในกรอบคงที่ เพราะไม่สามารถกำหนด Business logic ล่วงหน้าได้ทุกขั้นตอน  ระบบ Front office ที่ทำงานในเชิงปฏิสัมพันธ์ (Interactional) จึงมีลักษณะดังนี้
1.        เน้นการบริการแบบ Self-service โดยผู้ใช้ที่ทำงาน Co-creation ต้องสามารถ Mashup ข้อมูล และ Business processes ได้ด้วยตัวเอง เพื่อตอบโจทย์ของตนเองตามบริบท ณ ขณะใดขณะหนึ่ง  ขึ้นอยู่กับผลของการปฏิสัมพันธ์ก่อนหน้านั้น
2.        เน้นการมีเครื่องมือ ที่จะสนับสนุนผู้ใช้บริการด้วยตัวเองได้อย่างสะดวก เครื่องมือมาในรูปต่าง ๆ เช่น Stateless APIs, Web services, XML modules, Mashup components, Widgets, ฯลฯ
3.        เน้นความสามารถของระบบแฟลตฟอร์มที่จะอำนวยความสะดวกในการทำงานภายใต้ความไม่แน่นอนของกระบวนการสร้างคุณค่า โดยผู้ใช้ต้องสามารถ Configure ระบบอัพพลิเคชั่น (Application)ได้โดยง่าย และเป็นอัพพลิเคชั่นที่ทำงานแบบปฏิสัมพันธ์ในหมู่คนที่เกี่ยวข้อง

ความหมายของแฟลตฟอร์ม
            แพลตฟอร์ม (Platform) ในความหมายของซอฟต์แวร์  เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบให้ทำงานแยกระดับชั้น โดยมีกลุ่มซอฟต์แวร์ระดับล่าง (Low level) ทำงานบริการให้กลุ่มซอฟต์แวร์ระดับที่สูงกว่า จนถึงขั้นระดับ Application กลุ่มซอฟต์แวร์ระดับล่าง เป็นซอฟต์แวร์ที่รับผิดชอบการจัดการการใช้ทรัพยากรไอซีทีในระหว่างทำงานจริง (Deployment) ประกอบด้วยซอฟต์แวร์ที่บริการเชื่อมโยงระหว่างโปรแกรมประยุกต์กับกลุ่มอุปกรณ์ เช่นหน่วยประมวลผล หน่วยบันทึกข้อมูล อุปกรณ์เครือข่าย ฯลฯ   กลุ่มซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่บริการเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัย (Security)  การจัดการและใช้ APIs รวมทั้งด้านมาตรฐานการสื่อสารและส่งข้อมูลระหว่างกลุ่มซอฟต์แวร์คอมโพเนนต์ (Software component)   ในบางกรณี กลุ่มซอฟต์แวร์ระดับล่าง ยังรวมซอฟต์แวร์ที่บริการเฝ้าระวังการทำงาน (Monitoring) ของระบบงาน การตรวจสอบความพร้อมทำงานของส่วนประกอบด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์  ตลอดจนทำหน้าที่จัดการการแบคอัพ (Backup) ทำสำรองข้อมูล และบันทึกสถานภาพของโปรแกรม พร้อมที่จะให้บริการกู้คืนการทำงานเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง หลังจากที่ระบบงานได้หยุดชะงักชั่วคราวอันเป็นผลจากสาเหตุใดก็ตาม  นอกจากนี้ ยังมีงานด้านตรวจสอบสิทธิ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ระบบงาน กลุ่มซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ Deployment  จึงเป็นส่วนพื้นฐานที่สำคัญของระบบแพลตฟอร์ม
            กลุ่มซอฟต์แวร์ระดับสูง (High level) ของแพลตฟอร์ม  โดยทั่วไปจะเป็น แอพพลิเคชั่น ประกอบด้วยส่วนที่เป็นกระแสงาน (Workflow) หรือกระบวนการ (Business processes) ทำงานเชื่อมโยงกับซอฟต์แวร์ที่ให้บริการด้านประมวลผล (Services) แพลตฟอร์มมักจะถูกออกแบบให้แอพพลิเคชั่นปรับเปลี่ยนได้แบบ Plug-and-play หรือ Configure ได้ตามความจำเป็น เพื่อสอดคล้องกับงานที่ปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก  เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการ Configure ระบบแอพพลิเคชั่น ตามบริบทของผู้รับบริการ ระบบแพลตฟอร์มจึงมักจะถูกออกแบบให้สามารถบริการผู้ใช้ทำ Configure แอพพลิเคชั่นด้วยตัวเองด้วยวิธีง่าย ๆ แอพพลิเคชั่นที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ นิยมเรียกว่า “Situational application”  ผู้ใช้ที่มีทักษะในการสร้าง Situational application ถือว่าเป็นกลุ่ม Super-users ในกรณีนี้ กลุ่มซอฟต์แวร์ระดับสูงของแพลตฟอร์มจะมีเครื่องมือต่าง ๆ จำนวนหนึ่งสนับสนุน Super-users สร้างโปรแกรมแบบ Situational application ได้ กลุ่มซอฟต์แวร์ในระดับนี้ นอกจากจะมีเครื่องมือช่วย Mashup ข้อมูล อย่างกรณีที่เรานำข้อมูลการตลาดมา Mashup ทับซ้อนกับ Google map ยังอาจใช้Mashup หรือ Re-bundle กระบวนการ หรือ Workflow เพื่อควบคุมกระบวนการทำงานแบบง่าย ๆ เพื่อตอบโจทย์เฉพาะเรื่องได้ กลุ่มเครื่องมือที่ช่วย Super-user พัฒนา Situational application มีส่วนประกอบหลัก ๆ เช่น
·      ส่วนบริการฐานข้อมูล
·      ส่วนบริการเกี่ยวกับกระแสงาน
·      ส่วนบริการสร้างรายงาน
·      ส่วนบูรณาการหรือผสม (Mashup) ข้อมูล
·      ส่วนบริการตรรกะของงานแบบง่าย ๆ
·      ส่วนบริการด้าน User interfaces

บทบาทของคลาวด์คอมพิวติงเมื่อทำงานร่วมกับแพลตฟอร์ม
            ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนก่อน ๆ ว่า คลาวด์มีอิทธิพลอย่างมากต่อการบริการลูกค้าและประชาชน เมื่อคลาวด์ทำงานร่วมกับอุปกรณ์พกพา จะเกิดประโยชน์มหาศาลในเชิงสร้างสรรค์แนวคิดใหม่เพื่อการปฏิสัมพันธ์และบริการ  ผู้ให้บริการ (หน่วยงานของรัฐ หรือภาคเอกชน) จะสามารถสร้างนวัตกรรมในเชิงกระบวนการที่พัฒนาเป็นบริการรูปแบบต่าง ๆ  โดยผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการสร้างคุณค่า คลาวด์จึงเป็นส่วนสำคัญของระบบสร้างคุณค่า (Value creation system) ที่สนับสนุนกลยุทธ์การสร้างความเข้มแข็งเพื่อการแข่งขันให้แก่องค์กรในรูปแบบบริการต่าง ๆ เช่น
1.        ให้บริการลูกค้าในลักษณะ Self-service ด้วยวิธีรับข่าวสาร และค้นหาข้อมูล ตลอดจนติดต่อสื่อสารกับผู้ให้บริการอย่างใกล้ชิด  (End user to cloud) ตัวอย่างเช่น ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานภาพของลูกหนี้ สอบถามเรื่องสินค้าคงคลัง สอบถามเรื่องสินค้าระหว่างทาง  ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลด้วยตัวเองผ่านคลาวด์ได้โดยตรง ในการให้บริการผ่านคลาวด์นี้ ทั้งผู้ให้บริการ และผู้รับบริการ อาจทำ Reconfigure กระบวนการสื่อสาร และประมวลผล เพื่อตอบโจทย์เฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว
2.        ใช้คลาวด์เชื่อมโยงกับคู่ค้าเพื่อปรับปรุงระบบห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น  การจัดการงานในกระบวนการห่วงโซ่อุปทาน เป็นเรื่องการใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างธุรกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระบบข้อมูลที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะอยู่ในฐานข้อมูลในคลาวด์เดียวกัน หรือต่างฐานข้อมูล  และคลาวด์ต่างชุดกัน ก็สามารถเชื่อมโยงกันเพื่อบูรณาการได้โดยง่าย นอกจากนี้ เครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์ง่าย ๆ แบบ Situational application ยังจะช่วยปรับกระบวนการทำงานภายในห่วงโซ่อุปทานได้ตามความจำเป็น เมื่อต้องการ เกิดความคล่องตัวในการทำงานภายในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง
ทั้งสองกรณีตัวอย่างที่กล่าวข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า คลาวด์และอุปกรณ์พกพา เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงการทำงาน และการเข้าถึงระบบประมวลผล ระบบฐานข้อมูล และระบบสื่อสารข้อมูลระหว่างผู้ให้บริการ และผู้รับบริการ ในขณะที่ระบบแพลตฟอร์มมีบทบาทสำคัญที่จะบริการ Super-users และนักพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ขององค์กร ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภท Situational applications ได้ง่าย รวดเร็ว และประหยัด เมื่อรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน จะสนับสนุนให้องค์กรกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาธุรกิจรูปแบบใหม่ที่แข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยเน้นการบริการลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างประทับใจ ซึ่งอาจทำได้เป็น 3 ระดับดังนี้
1.        ระดับปรับปรุงการบริการให้ดีขึ้น  ซึ่งเป็นการใช้คลาวด์สนับสนุนยุทธศาสตร์ที่ทำให้การบริการลูกค้าและคู่ค้าภายในห่วงโซ่อุปทานดีกว่าเดิม  เน้นบริการข้อมูลที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ ด้วยการปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในด้วยระบบไอซีทีที่มีความคล่องตัว และทำงานแบบร่วมกัน อย่างมีบูรณาการ
2.        ระดับสร้างนวัตกรรมด้านบริการ ธุรกิจสามารถออกแบบข้อเสนอใหม่ ๆ ให้ลูกค้า และอาศัยคลาวด์เป็นระบบส่งมอบบริการ ในลักษณะสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างธุรกิจกับลูกค้า ความสามารถใหม่ที่กล่าว นำไปสู่การขยายฐานธุรกิจ และกำหนดบทบาทใหม่ภายในห่วงโซ่อุปทาน จนสามารถเพิ่มรายได้อย่างมากได้ เช่น เปิดโอกาสให้พันธมิตรร่วมกันออกแบบสินค้าและบริการใหม่ ๆ ผ่านคลาวด์ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลที่จำเป็นต่อการสร้างนวัตกรรมร่วมกัน  แทนที่บริษัทและพันธมิตรจะทำหน้าที่เพียงเพิ่มคุณค่า (Value added) ในผลิตภัณฑ์และบริการที่ส่งมอบให้ลูกค้า คลาวด์เปิดโอกาสให้ทุกคนภายในเครือข่ายร่วมสร้างและร่วมเสนอนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ ทำให้ทั้งกลุ่มสามารถผลิตสินค้าและบริการใหม่ ๆ สนองความต้องการของตลาดที่แท้จริงในช่วงเวลาอันสั้นได้
3.        ระดับปฏิรูปรูปแบบธุรกิจ สินค้า และบริการใหม่ ๆ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน  อาศัยคลาวด์เป็นระบบนิเวศทางธุรกิจ (Business ego-system) พัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ที่สร้างคุณค่าให้แก่ผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม อาศัยแนวคิดใหม่ที่แตกต่าง จนเป็นผู้นำด้านความคิดที่จะนำไปสู่การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันแบบก้าวกระโดด ที่คู่ข่างยากที่จะตามได้ทัน  เช่น ธุรกิจบริการอาหารในภัตตาคาร แทนที่จะมุ่งเน้นการพัฒนาเมนูอาหารที่แตกต่างจากคู่แข่ง กลับเปลี่ยนกลยุทธ์มาร่วมกับนักโภชนาการ ร่วมวิจัยสูตรอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างจริงจัง อาศัยคลาวด์เป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อทำงานร่วมกัน แล้วนำเสนอและเผยแพร่ความรู้ให้แก่ผู้บริโภคอย่างกว้างขวางจนเป็นที่ยอมรับในสังคม

ตัวอย่างที่กล่าวทั้งหมดข้างต้น  เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและแนวคิดใหม่ทางธุรกิจที่เน้นการสร้างคุณค่าให้แก่คน สังคม และสิ่งแวดล้อม คลาวด์คอมพิวติงเมื่อรวมกับศักยภาพของอุปกรณ์พกพา ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจ ประโยชน์ของคลาวด์จึงไม่เพียงแค่เป็นรูปแบบการให้บริการไอซีทีในลักษณะการบริการแบบสาธารณูปโภค แต่เป็นระบบนิเวศทางธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ช่วยการปฏิรูปรูปแบบธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ที่ผู้บริหารทุกภาคส่วนพึงให้ความสนใจอย่างจริงจัง