Wednesday, May 3, 2017

พัฒนาการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีผลต่อธุรกิจยุคใหม่

                 ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ได้พัฒนามาเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และมาเป็นเทคโนโลยีดิจิทัล พื้นฐานของเทคโนโลยีนั้นเหมือนกัน ต่างกันที่ความสามารถที่เพิ่มขึ้น และถูกนำไปประยุกต์ใช้ในวงกว้างขึ้น เทคโนโลยีดิจิทัลแตกต่างจากเทคโนโลยีไอซีทีอย่างน้อยสามเรื่องดังนี้
 
1.             การหล่อหลอมรวมกันของ Digital contents (Digital Convergence)

ข้อมูลในยุคดิจิทัลเกิดขึ้นมากมายจากการทำธุรกรรมและการดำเนินชีวิตประจำวันของคนทุกคนที่ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูลปรากฏอยู่ในแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง และอื่น ๆ การจัดการข้อมูลเหล่านี้เพื่อให้เกิดความสะดวกต่อการใช้และการไหลเวียนสื่อสารกันเป็นสิ่งสำคัญ  Digital Convergence เกิดได้สามด้านหรือสามมิติดังนี้

1)            มิติเกี่ยวกับรูปแบบข้อมูล ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบเสียง รูปภาพ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว หรือข้อความ ต่างถูกแปลงเป็นข้อมูลดิจิทัลเหมือนกัน จึงรวมตัวกันเพื่อนำเสนอในที่เดียวกันได้ เช่น เรารวมเสียงพูด รูปภาพ วีดิทัศน์ และข้อความให้ปรากฏหรือนำเสนออยู่บนเว็บหน้าเดียวกันได้ เรียกว่า Content Convergence
2)            มิติเกี่ยวกับช่องทางขนส่งข้อมูล ในอดีตข้อมูลที่ปรากฏในรูปแบบต่างกันจะถูกส่งให้ผู้รับปลายทางด้วยช่องทางแตกต่างกัน เช่นสิ่งพิมพ์ถูกส่งด้วยระบบขนส่งทางกายภาพ เสียงส่งไปตามสาย เช่นสายโทรศัพท์ หรือกระจายด้วยระบบกระจายเสียง ภาพยนตร์ ภาพวีดิทัศน์ก็มีระบบส่งไปถึงผู้รับด้วยวิธีที่แตกต่างกัน แต่ในยุคดิจิทัล ข้อมูลถึงแม้จะต่างรูปแบบ ก็จะสามารถขนส่งไปที่ต่าง ๆ ได้ด้วยช่องทางอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นระบบอินเทอร์เน็ตมีสาย หรือไร้สาย เรียกว่า Channel Convergence
3)            มิติเกี่ยวกับการแสดงข้อมูล อินเทอร์เน็ตทุกวันนี้เชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ทำงานด้วยดิจิทัลได้ทุกชนิด อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ เครื่องแท็บเล็ต โน๊ตบุ๊ค คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เครื่องเล่นเกมส์ และอุปกรณ์ดิจิทัลอื่น ๆ สามรถรับข้อมูลจากสื่อหลากหลายที่กล่าวในข้อ 1 ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทั่วทุกมุมโลก หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ข้อมูลดิจิทัลสามารถนำเสนอบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้เกือบทุกชนิด (Device Convergence)

ทั้งสามมิติของ Digital Convergence ที่กล่าว อำนวยความสะดวกแก่ผู้ทำงานที่ต้องใช้ข้อมูลเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเสริมสร้างความสามารถในการทำงาน (Capabilities) ในทุก ๆ ด้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

2.             ดิจิทัลเทคโนโลยีเป็นเรื่องของการเชื่อมโยง (Connectivity) 

อินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างในยุคดิจิทัล ในรอบเกือบสามสิบปีตั้งแต่อินเทอร์เน็ตถูกนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ ได้เกิดพัฒนาการมาแล้วสามยุคดังนี้

1)            อินเทอร์เน็ตยุคที่ 1 เป็นอินเทอร์เน็ตที่ถูกนำไปเชื่อมโยงระหว่างคนกับข้อมูล เราเริ่มสร้างเว็บไซท์หรือเว็บท่า (Website) เพื่อบันทึกข้อมูลข่าวสารไว้เผยแพร่ เป็นครั้งแรกในประวัติมนุษย์ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลและความรู้จำนวนมหาศาลอย่างสะดวกและรวดเร็วด้วยต้นทุนที่ต่ำ ส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียเงิน ในรอบสิบปีแรกของอินเทอร์เน็ต คนเราจำนวนหนึ่งสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้มหาศาล เปิดโอกาสให้เรียนรู้ในสิ่งที่สนใจอย่างไม่มีข้อจำกัด กระตุ้นให้คนเราพัฒนาก้าวหน้าไปอีกระดับหนึ่ง
2)            อินเทอร์เน็ตยุคที่ 2  เมื่อคนเราพัฒนาเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า Social technology ที่ทำงานร่วมกับอินเทอร์เน็ตได้ ทำให้อินเทอร์เน็ตเข้าสู่ยุคที่ 2 โดยเพิ่มความสามารถในการเชื่อมโยงระหว่างคนกับคน การเชื่อมโยงระหว่างคนกับคนเกิดเป็นชุมชนและสังคมใหญ่น้อยและขยายไปทั่วโลก โลกเราเริ่มไม่มีพรมแดน การติดต่อระหว่างคนกับคนทำได้ต่างชาติต่างภาษา เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่มีนัยสำคัญต่อการดำรงชีพของมนุษย์ เพราะ การเชื่อมโยงระหว่างคนทำให้เกิดการแบ่งปันข้อมูลและความรู้ระหว่างกัน ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยเป็นผู้บริโภคที่เล่นแต่บทรับ ถูกชักนำให้บริโภคตามผู้ผลิต มาเป็นผู้บริโภคที่เล่นบทรุก เป็นผู้ชี้นำให้ผู้ผลิตทำในแนวที่ตนเองต้องการ การเชื่อมโยงด้วยอินเทอร์เน็ตระยะสองนี้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านสังคมและด้านเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
3)            อินเทอร์เน็ตยุคที่ 3  เมื่อเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และซอฟต์แวร์ด้านอุปกรณ์เซ็นเซอร์ (Sensor) และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องได้พัฒนาถึงจุดที่ราคาลดลงอย่างมาก มีขนาดเล็ก และขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ได้ จึงสามารถเพิ่มความสามารถแก่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ  อินเทอร์เน็ตถูกนำมาเชื่อมโยงกับทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นโลก (Internet of Things) รวมทั้ง RFID, Beacon, GPS, etc. อินเทอร์เน็ตเข้าสู่ยุคที่สามด้วยการเชื่อมโยงนอกจากคนกับข้อมูล คนกับคน ยังเชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกายภาพเพื่อดูดข้อมูลและพฤติกรรมของสิ่งเหล่านี้ไปประมวลผล ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกายภาพรวมทั้งคนมีความ Smart มากกว่าเก่าอันเนื่องมาได้รับการสนับสนุนจากความสามารถเชิงวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลที่เชื่อมโยงด้วยอินเทอร์เน็ต

ยุคที่ 4 ของอินเทอร์เน็ตกำลังก่อตัวขึ้นด้วยเทคโนโลยีเช่น Blockchain ที่ทำให้อินเทอร์เน็ตกลายเป็น Secured Internet คือเป็นอินเทอร์เน็ตที่มีความปลอดภัยสูงมาก ทำให้ข้อมูลที่เคลื่อนย้ายในระบบอินเทอร์เน็ตไม่ถูกแฮก (Hack) หรือไม่ถูกผู้ไม่หวังดีนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ไม่สมควร หรือถูกผู้ไม่หวังดีทำลายข้อมูลจนเกิดความเสียหายได้  อินเทอร์เน็ตยุคก่อน ๆ หรือเว็บ (Web) ถูกใช้เพื่อสื่อสารข้อมูล ทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สื่อสารในระดับชุมชน และอื่น ๆ แต่ Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่สร้างระบบเครือข่ายบนอินเทอร์เน็ตเพื่อเคลื่อนย้ายอะไรก็ได้ที่เป็นคุณค่า (Value) ระหว่างคนสองคน (Peers-to-Peers) เงินมีคุณค่า แต่คุณค่าไม่ใช่เงินเพียงอย่างเดียว ทุกอย่างที่มีคุณค่า เช่นข้อมูลรักษาโรคส่วนตัวเป็นคุณค่าของเจ้าของข้อมูล โฉนดที่ดินเป็นเอกสารที่มีคุณค่า ใบรับรองการศึกษาหรือเทียบวุฒิตามวิทยะฐานะมีคุณค่า ใบเกิดและใบทะเบียนสมรสเป็นเอกสารที่มีคุณค่า ฯลฯ สิ่งที่มีคุณค่าเหล่านี้สามารถทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อาศัย Blockchain ที่มีความปลอดภัยสูง จึงเรียกว่าเป็น Secured Internet

3.             เทคโนโลยีดิจิทัลที่เสริมความสามารถของคน (Digital Capability)

นอกจากความสามารถของดิจิทัลที่มีผลต่อการทำงานและดำรงชีพของคนตามกล่าวข้างต้น ดิจิทัลยังเสริมสร้างความสามารถของคนในอีกอย่างน้อย 4 ด้าน บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลก Gartner เรียกว่า “The Nexus of Forces”  เทคโนโลยีดิจิทัลกลุ่มนี้เป็นจุดประสานพลังพื้นฐานของการพัฒนาธุรกิจยุคดิจิทัล  (Digital Business) การประสานพลังที่กล่าวนี้เกิดจากเทคโนโลยีดิจิทัล 4 กลุ่มได้แก่ Social, Mobile, Cloud, and Information ปรากฏการณ์ของการรวมพลังนำไปสู่การออกแบบธุรกิจรูปแบบใหม่ (New Business Logic) ของศตวรรษที่ 21 ที่จะกล่าวในรายละเอียดต่อไป

1)            เทคโนโลยีกลุ่มสังคม (Social) เทคโนโลยีกลุ่มนี้ทำให้เกิดชุมชน (Community) ที่เชื่อมโยงกันทำกิจกรรมเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ชุมชนเกิดขึ้นทั่วทั้งโลก ไม่มีการกีดกันกัน ใครสนใจร่วมกลุ่มไหนสามารถเข้าร่วมได้ สมาชิกในแต่ละชุมชนมีทรัพยากรของตนเองติดตัวไม่ว่าจะเป็นความรู้ ประสบการณ์ ข้อมูลข่าวสาร ทรัพยากรทั้งที่เป็นกายภาพและไม่มีกายภาพ ทุกคนมีทรัพยากรตามกล่าวไม่มากก็น้อย  ทรัพยากรของสมาชิกแต่ละคนนำมาผสมผสานกันกลายเป็นทรัพยากรใหม่ (Novel resouces) ที่มีคุณค่าสำหรับสมาชิกอื่น ๆ  การแบ่งปันกัน การใช้ทรัพยากรร่วมกัน และแลกเปลี่ยนกัน มีความสำคัญมากต่อการพัฒนาธุรกิจในยุคใหม่ ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของธุรกิจในยุคดิจิทัลต้องเปลี่ยนแนวจากเดิมที่พยายามควบคุมทรัพยากร (Control resources) ของตนเอง เพื่อใช้เอง และใช้ทรัพยากรสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ผู้ที่มีทรัพยากรน้อยกว่าก็จะเสียเปรียบและถูกกีดกันการเข้าถึงทรัพยากร แต่ยุคดิจิทัล ด้วยเหตุผลของการขยายตัวของชุมชนผ่านอินเทอร์เน็ต ธุรกิจควรเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นการกำกับ (Orchestrate resources) การใช้ทรัพยากรของพันธมิตรและสมาชิกในชุมชนเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เมื่อเป็นเช่นนี้ แนวคิดการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ต้องเปลี่ยนจากเดิมที่มุ่งกำหนดมาตรการทำงานเพื่อ Optimize กระบวนงานและทรัพยากรเพื่อให้ตนเองมีความได้เปรียบมากที่สุด มาเป็นการจัดทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์เพื่อความร่วมมือกับบุคคลภายนอกเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ประโยชน์ในบริบทของตนเอง
2)            Mobile คือกลุ่มเทคโนโลยีที่ช่วยให้เกิดการเคลื่อนที่ได้สะดวก เช่นอุปกรณ์พกพาที่อาศัยเทคนิคการสื่อสารไร้สาย ทำให้เราพกพาอุปกรณ์ไปได้ทุกที่และทำงานได้ทุกเวลา ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว คนเราเริ่มมีอิสรภาพ สามารถทำงานและทำกิจกรรมได้โดยไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของสถานที่และเวลา ทำให้ผลิตภาพของธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ธุรกิจต้องรู้จักปรับเปลี่ยนวิธีทำงานใหม่เพื่อให้ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Mobility นี้
3)            Cloud หรือ Cloud Computing เป็นแนวคิดของการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์และโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีในรูปแบบสาธารณูปโภค (Utility) ความสามารถเชื่อมโยงกับทุกสิ่งทุกอย่างผ่านอินเทอร์เน็ตทำให้เราสามารถใช้ทรัพยากรด้านโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีเป็นแบบบริการเช่าใช้ โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องลงทุนเองถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ  Nicholus Carr เขียนบทความใน Harvard Business Review ปี 2003 เรื่อง “IT Doesn’t Matter” และอีกหนึ่งปีต่อมา เขียนเป็นหนังสือชื่อ “Does It Matter?: Information Technology and the Corrosion of Competitive Advantage[1]” Carr บอกว่าในอดีตธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีทรัพยากรมากมักจะลงทุนด้านเทคโนโลยีให้มาก ๆ เพื่อสร้างความได้เปรียบ ธุรกิจขนาดเล็กที่มีทุนทรัพย์น้อยจะไม่สามารถลงทุนด้านเทคโนโลยีในระดับเดียวกัน ทำให้เกิดความเสียเปรียบในการแข่งขัน แต่กลยุทธ์นี้ใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะเทคโนโลยีอย่างเช่นเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีราคาและค่าใช้จ่ายลดลงอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังใช้ได้ง่ายขึ้นมากด้วย ยิ่งในยุคดิจิทัลนี้ Cloud Computing เปลี่ยนรูปแบบการลงทุนด้านเทคโนโลยีมาเป็นการเช่าใช้ หรือใช้เป็นบริการแทน ใช้มากจ่ายมาก ใช้น้อยจ่ายน้อย เป็นเหตุให้ธุรกิจขนาดเล็กมีโอกาสเท่าเทียมธุรกิจขนาดใหญ่ในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลระดับสูงตามบริบท ความสามารถในการลงทุนด้านทรัพย์สินจึงไม่ใช่เป็นปัญหาของการแข่งขันอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ ในยุคดิจิทัล เทคโนโลยีด้านสารสนเทศจึงเป็นของทุกคนและของธุรกิจทุกระดับ และเป็นหนึ่งในจำนวน 4 พลังหลักที่จะช่วยผลักดันให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
4)            Information หรือสารสนเทศ ซึ่งเป็นแรงที่ 4 นี้เป็นผลเกิดจากแรงหรือพลัง 3 อย่างแรกที่กล่าวข้างต้น ได้แก่ Social, Mobile, และ Cloud ข้อมูลที่เกิดจากพลังทั้งสามที่กล่าวมีมหาศาลและต่อเนื่อง ทำให้เราได้ข้อมูลเกือบทุกเรื่องทั้งในแนวกว้างและแนวลึก เมื่อรวมกับเทคนิคการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้เกิดความรอบรู้ในเชิงลึก (Insights) ในยุคที่คนเราใช้คอมพิวเตอร์และไอซีทีเพื่อประมวลผลข้อมูลขององค์กร เช่นในงานบริหารทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning, ERP) ข้อมูลที่ได้จากกระบวนการทั้งหมดเป็นข้อมูลที่เกิดจากการทำรายการค้าขององค์กร เป็นข้อมูลภายในเกือบทั้งสิ้น เมื่อเรานำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ทำให้เรารับรู้ความเป็นมาต่างๆ ที่เกี่ยวกับองค์กรเท่านั้น (Enterprise Insights) แต่ในโลกที่มีพลวัตรสูงอย่างเช่นทุกวันนี้ ความรอบรู้เกี่ยวกับองค์กรเพียงลำพังนั้นไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องรอบรู้ในเหตุการณ์ต่าง ๆ รอบด้านทั่วทั้งโลก (World Insights) Information/Analytics จึงเป็นแรงที่ 4 ที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกกายภาพมีความฉลาดมากขึ้น (Smart) จากนี้ไป เราต้องการแข่งขันด้วย Smart Products/Services เราต้องการแข่งขันด้วย Smart Processes และ Smart Factory เป็นต้น

ที่ได้กล่าวมาข้างต้น เป็นการชี้ให้เห็นความแตกต่างทั้งบทบาทหน้าที่และความสามารถของเทคโนโลยีดิจิทัลเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทุกยุคทุกสมัยคนเราจะพัฒนาความสามารถบนพื้นฐานของเทคโนโลยีของสมัยนั้น ตารางที่ 1 ข้างล่าง จะสรุปความแตกต่างด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระหว่างไอซีทีกับดิจิทัล ผลของการเปรียบเทียบจะทำให้เข้าว่าด้วยเหตุใดดิจิทัลจึงถูกมองว่าเป็นแรงหรือ Force ที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และธุรกิจที่ยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของดิจิทัลจะเพิ่มความเสี่ยงให้แก่ธุรกิจที่อาจส่งผลในด้านลบได้รวดเร็วเกินคาด

การประยุกต์ไอซีที
การประยุกต์ดิจิทัล
1.             เพื่อการประมวลผลข้อมูล (Computing and data processing)
2.             เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (Improve efficiency)
3.             สนับสนุนธุรกิจที่มุ่งเน้นจำหน่ายสินค้า (Product-centricity)
4.             สนับสนุนการผลิตในลักษณะ Mass production
5.             สนับสนุนรูปแบบการปฏิบัติงานในลักษณะเป็น Value Chain

1.             เพื่อการเชื่อมโยงกับภายนอก สนับสนุนงานที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่เกี่ยวข้อง เน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างคุณค่า (Value Creation)
2.             เพื่อการปรับเปลี่ยนธุรกิจ (Business Transformation) เน้นการสร้างคุณค่า
3.             สนับสนุนธุรกิจที่มุ่งเน้นสร้างประโยชน์และคุณค่าให้ลูกค้า (Customer-centricity)
4.             สนับสนุนการผลิตในลักษณะ Mass Customization
5.             สนับสนุนรูปแบบการปฏิบัติในลักษณะเป็นเครือข่าย หรือ Value Network
       ตารางที่ 1  สรุปความแตกต่างด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระหว่างไอซีทีกับดิจิทัล

จากคุณสมบัติและความสามารถของดิจิทัลข้างต้น กล่าวได้ว่าเทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบธุรกิจ และเป็นพื้นฐานสำคัญของการกำหนดยุทธศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใด นำไปสู่การออกแบบ Operating Model ของธุรกิจใหม่ โดยเน้นที่กระบวนการหลัก (Core Processes) ของธุรกิจ บนแนวคิดของธุรกิจใหม่ (New Business Logic) ที่เน้นการสร้างคุณค่า (Value Creation) และเน้นการบริการลูกค้าให้ได้รับความประทับใจสูงสุด



[1] Carr, Nicholas, G., “Does It Matter?: Information Technology and the Corrosion of Competitive Advantage”, Harvard Business Review Press, 1 edition, 2004.

1 comment: