บทความสองตอนแรก ได้กล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องวางแผนไอซีทีให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจ
และได้แนะนำกรอบเพื่อการวางแผนที่สอดคล้องกัน บนพื้นฐานของ Strategic Fit และ Functional
Integration ภายใต้แนวคิดแบ่งแผนขององค์กรเป็น 4 ส่วน (Domains) จากด้านของธุรกิจและด้านของไอซีที
ประกอบด้วย 1) Business Strategy 2) Organizational Infrastructure and
Processes 3) IT Strategy และ 4) IT Infrastructure and
Processes เราจะอาศัยแผนทั้ง 4 ส่วนขององค์กรนี้เป็นแนวทางวางแผนไอซีทีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจดังที่จะบรรยายต่อในตอนที่
3 นี้
ในการวางแผนยุทธศาสตร์ไอทีให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ธุรกิจตามกรอบที่แนะนำโดย
Henderson และ Venkatraman[1] นั้น เราต้องเลือกจากหนึ่งในสองทางตามความเหมาะสม
กล่าวคือ อาจเริ่มต้นจากยุทธศาสตร์ธุรกิจก่อน หรือเริ่มจากยุทธศาสตร์ไอทีก่อน
โดยมีหลักการที่จะนำเสนอต่อไปนี้
1.1.
เริ่มจากยุทธศาสตร์ธุรกิจ
ตามที่กล่าวในตอนที่ 2 ว่า วิธีที่จะทำให้แผนไอทีและแผนยุทธศาสตร์สอดคล้องกัน โดยมีคุณสมบัติครบทั้ง
Strategic fit และ Functional integration นั้น ให้วางแผนด้วยการเลือกแผนจาก 3 ใน 4
Domains ที่แสดงใน ภาพที่ 1 ในกรณีนี้ เราเลือกที่จะเริ่มต้นจากแผนยุทธศาสตร์ธุรกิจ
ทำให้เรามีทางเลือกที่จะทำงานต่อได้ 2 ทาง
คือเลือกทวนเข็มนาฬิกา หมายความว่า เราจะเลือกทำแผน Organizational
Infrastructure and processes ต่อจากแผนยุทธศาสตร์ธุรกิจก่อน แล้วไปจบด้วยแผน
IT Infrastructure and processes แต่ถ้าเลือกตามเข็มนาฬิกา หมายความว่า
เรามีเจตนาที่จะเลือกทำแผนยุทธศาสตร์ไอทีต่อจากแผนยุทธศาสตร์ธุรกิจ แล้วไปจบด้วย IT
Infrastructure and processes (ให้ดูจากภาพที่
1 ที่นำมาแสดงซ้ำและภาพที่ 2 ประกอบการอธิบาย)
ภาพที่
1 แสดงความสัมพันธ์ที่สอดคล้องระหว่างธุรกิจและไอที
(ภาพ ก.)
(ภาพ ข.)
ภาพที่ 2 การวางแผนเริ่มจากยุทธศาสตร์ธุรกิจแล้วตามด้วย
(ก) ทวนเข็มนาฬิกา (ข) ตามเข็มนาฬิกา
การเลือกวิธีตามที่กล่าวมีนัยแตกต่างกันดังนี้
สมมุติว่าผู้บริหารระดับสูงได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ธุรกิจโดยให้ขยายฐานของธุรกิจในสามปีข้างหน้าด้วยวิธีการทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
วิธีที่จะทำแผนไอทีมารองรับยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ธุรกิจมีสองวิธี คือ
1)
เลือกวิธีทวนเข็มนาฬิกาตามภาพที่
2 หมายถึงให้มีการวางแผนปรับปรุงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตลาด
การขาย และการบริการลูกค้าก่อน ให้เข้าใจกระบวนการของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งแตกต่างกับธุรกิจเก่ามาก ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องได้ผ่านการอบรมฝึกทักษะตามหน้าที่และภารกิจใหม่
มีการกำหนดรูปแบบธุรกิจ (Business model) ใหม่ว่าสินค้าและบริการมีจุดเด่นต่างกับคู่แข่งอย่างไร
เข้าใจกระบวนการบริการแบบ End-to-end รวมทั้งรูปแบบใหม่ของการก่อเกิดรายได้
รวมทั้งกำหนดกรอบวิธีที่อาจต้องมีการดำเนินการร่วมกับคู่ค้า เช่นวิธีการชำระเงินรูปแบบใหม่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
เลือกรูปแบบใหม่ในการส่งเสริมการขาย ฯลฯ ทั้งหมดรวมอยู่ในแผนธุรกิจภายใต้ส่วนที่เรียกว่า
“Organizational Infrastructure and Processes (OIP)”
การดำเนินการวางแผน OIP ต่อจากการกำหนดยุทธศาสตร์ธุรกิจ
ทำให้เรามั่นใจว่า เราได้ปรับปรุงองค์กรให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่แล้ว (Strategic
fit) จากนั้น เราจึงดำเนินการต่อด้วยแผน
ITIP (IT Infrastructure and Processes) คือกำหนดแผนไอทีมารองรับการทำงานของหน่วยงานด้านธุรกิจต่าง
ๆ เพื่อสามารถบริการลูกค้าด้วยวิธีการทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งอาจหมายถึงการกำหนดคุณสมบัติของระบบซอฟต์แวร์และระบบฮาร์ดแวร์ การจัดซื้อจัดจ้างและติดตั้งระบบพาณิชย์ทรอนิกส์
จัดหาบุคลากรด้านไอทีและฝึกทักษะทางเทคนิค พร้อมให้บริการด้านไอซีทีอย่างมีคุณภาพ
การลงทุนตามแผนไอซีทีในลักษณะนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับบริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ธุรกิจใหม่ขององค์กร จึงเป็นแผนไอซีทีที่กลมกลืนกับแผนธุรกิจ (Functional
Integration) หรือพูดอีกนัยหนึ่ง
การลงทุนไอซีทีเช่นนี้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของธุรกิจนั่นเอง Henderson และ Venkatraman
ผู้เป็นเจ้าของความคิดนี้ เรียกทางเลือกนี้ว่า เป็นทางเลือกที่มีความสอดคล้องกันจากมุมมองการดำเนินการตามยุทธศาสตร์
(Strategy execution alignment perspective)
2)
เลือกวิธีตามเข็มนาฬิกาที่แสดงในภาพที่
2 ตามวิธีการนี้
ผู้บริหารระดับสูงได้กำหนดยุทธศาสตร์ธุรกิจที่จะขยายฐานธุรกิจด้วยวิธีทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
แต่เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงมีโอกาสติดตามพัฒนาการของเทคโนโลยี และได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านไอซีทีทั้งจากภายในและภายนอกว่า
ยุคนี้เป็นยุคของคลาวด์คอมพิวติง (Cloud Computing) ธุรกิจสามารถออกแบบระบบงานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ครอบคลุมกว่าแต่ก่อนมาก
อีกทั้งการลงทุนก็น้อยกว่า และสามารถเชื่อมโยงผู้บริโภคและพันธมิตรทางธุรกิจได้กว้างไกลกว่า
นอกจากนี้ยังสามารถอาศัยทรัพยากรของพันธมิตรได้สะดวกขึ้นตั้งแต่การเสนอสินค้าข้างเคียงที่มีคุณค่าแต่ลูกค้าเพิ่มขึ้น
การบริการด้านโลจิสติกที่สะดวกกว่า การบริการการชำระเงินอย่างปลอดภัยหลากหลายวิธี
และบริการอื่น ๆ อีกมากที่กำลังจะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากอิทธิพบของคลาวด์คอมพิวติง
การบริการที่หลากหลายดังกล่าวจะสะดวกและประหยัด
อีกทั้งยังสามารถปรับปรุงการทำงานให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้อย่างคล่องตัว
(Agility) โดยอาศัยวิธีการประมวลผลเชิงกระบวนการ (Business
Processes) และเชิงบริการ (Service oriented) ความสามารถของไอซีทีเหล่านี้มีอิทธิพลต่อยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ
ในกรณีนี้ ผู้บริหารระดับสูงเลือกที่จะมอบหมายให้ CIO พิจารณาแผนไอซีทีโดยมีคลาวด์คอมพิวติงเป็นพื้นฐาน
เพื่อรองรับแผนการทำธุรกิจด้วยวิธีทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิด Functional
Integration ในระดับยุทธศาสตร์ ต่อจากนั้น จึงต่อด้วยการทำแผนไอซีทีในระดับปฏิบัติ
คือการทำแผนด้าน ITIP (IT Infrastructure and Processes) ซึ่งเป็นแผนเกี่ยวกับมาตรการเตรียมการใช้บริการคลาวด์เพื่องานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
วางแผนการลงทุนไอซีทีเฉพาะในส่วนที่จำเป็น วางแผนบริหารจัดการระบบฐานข้อมูลร่วมกับผู้ให้บริการคลาวด์
กำหนดมาตรการการใช้บริการคลาวด์อย่างปลอดภัย
รวมทั้งการวางแผนพัฒนาบุคลากรไอซีทีขององค์กรให้มีความรู้ความสามารถที่จะให้บริการหน่วยงานอื่นภายใต้สภาพการทำงานของโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีแบบคลาวด์คอมพิวติงได้
ในส่วนหลังนี้ เรียกว่าได้ออกแบบแผน ITIP ที่เหมาะสมหรือกลมกลืนกับยุทธศาสตร์ด้านไอที
(Strategic Fit) การลงทุนไอทีตามกรอบของแผนที่กล่าว
จึงมีความสอดคล้องกันกับยุทธศาสตร์ของธุรกิจ
ทำให้การลงทุนไอซีทีนั้นมีเป้าหมายชัดเจน
ไม่ใช่การลงทุนหรือเลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ตามแฟชั่น ทางเลือกที่สองนี้ Henderson
และ Venkatraman เรียกว่าเป็นความสอดคล้องของแผนจากมุมมองการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
(Technology transformation alignment perspective)
1.2.
เริ่มจากยุทธศาสตร์ไอที
การวางแผนยุทธศาสตร์ไอซีทีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของธุรกิจวิธีที่สอง
คือให้มอง ICT เป็น “Enabler”
หรือเป็นตัวช่วย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง
ให้ใช้ความสามารถของไอซีทีสมัยใหม่เป็นตัวนำในการกำหนดยุทธศาสตร์
ซึ่งต่างกับแนวทางแรกในหัวข้อ 1.1 ที่ใช้ยุทธศาสตร์ธุรกิจเป็นตัวนำ
ในการวางแผนให้สอดคล้องโดยอาศัยไอซีทีเป็นตัวนำนั้น
มีทางเลือกสองทางดังแสดงในภาพที่ 3
(ภาพ ก.)
(ภาพ ข.)
ภาพที่ 3 การวางแผนเริ่มจากยุทธศาสตร์ไอทีแล้วตามด้วย
(ก) ทวนเข็มนาฬิกา (ข) ตามเข็มนาฬิกา
1)
เลือกวิธีทวนเข็มนาฬิกาตามภาพที่
3 ในกรณีนี้หมายถึงว่าผู้บริหารระดับสูงเข้าใจอิทธิพลและประโยชน์ของเทคโนโลยีสมัยใหม่เช่นคลาวด์คอมพิวติงดี
จึงใช้ความสามารถของเทคโนโลยีเป็นปัจจัยหลักเพื่อพัฒนายุทธศาสตร์ธุรกิจใหม่
โดยมีเป้าหมายการสร้างศักยภาพเพื่อการแข่งขัน Henderson และ Venkatraman
เรียกมุมมองนี้ว่า Competitive potential alignment
perspective หรือมองความสอดคล้องของแผนยุทธศาสตร์จากมุมมองของศักยภาพในการแข่งขัน
ตามตัวอย่างนี้ ผู้บริหารระดับสูงอาจใช้โอกาสจากคลาวด์คอมพิวติงพัฒนาแนวทางดำเนินธุรกิจใหม่โดยเน้นการให้บริการลูกค้าและส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการสร้างคุณค่า
(Value co-creation) โดยอาศัยแนวคิดของวิทยาการบริการ (Service
Science) ที่จะกล่าวต่อไปเป็นพื้นฐาน โดยเชื่อว่าคู่แข่งส่วนใหญ่จะยังไม่ได้ตระหนักถึงกลยุทธ์ในลักษณะนี้
จึงสามารถทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันได้
ขั้นสำคัญต่อมา คือการวางแผนเพื่อให้ทุกหน่วยงานขององค์กรมีความพร้อมและสามารถปรับตัวทำงานภายใต้กรอบของยุทธศาสตร์ของธุรกิจใหม่
นั่นก็คือการวางแผนงานเกี่ยวกับ Organizational Infrastructure and
Processes ให้เหมาะสมกับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจนั่นเอง คือทำให้เกิด Strategic
fit ในขณะที่ได้ทำแผนยุทธศาสตร์ธุรกิจโดยอาศัยไอซีทีเป็นตัว Enabler
ซึ่งเท่ากับทำให้ยุทธศาสตร์ธุรกิจและยุทธศาสตร์ไอทีมีลักษณะเป็น Functional
integration เมื่อการลงทุนด้านไอซีทีสามารถรองรับยุทธศาสตร์ที่กล่าว
จึงเป็นการลงทุนที่มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ธุรกิจอย่างแน่นอน
2)
เลือกเดินตามเข็มนาฬิกาตามภาพที่
3 หมายถึงว่าผู้บริหารระดับสูงเข้าใจอิทธิพลและประโยชน์ของเทคโนโลยีสมัยใหม่
เช่นคลาวด์คอมพิวติง และต้องการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาแก้ปัญหาด้านบริการทางไอซีทีแก่บุคคลภายในและภายนอก
ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ได้บั่นทอนคุณภาพและศักยภาพในการแข่งขันตลอดระยะเวลาอันยาวนาน
ผู้บริหารระดับสูงยังไม่ต้องการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ธุรกิจด้านอื่น
แต่เน้นการแก้ปัญหาการใช้ไอซีทีที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ผ่านพ้นไปก่อน Henderson และ Venkatraman
เรียกมุมมองนี้ว่า Service Level alignment perspective หรือมองความสอดคล้องของแผนยุทธศาสตร์จากมุมมองของศักยภาพในการให้บริการ ในกรณีนี้ผู้บริหารระดับสูงจะกำหนดยุทธศาสตร์ไอทีโดยยึดกรอบของ
Cloud Maturity Model เป็นหลัก แล้วจึงวางแผนปฏิบัติด้านไอซีที (IT
Infrastructure and Processes) ให้สอดคล้องกัน
แนวทางวางแผนไอทีให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ธุรกิจทั้ง
4 มุมมอง เป็นกรอบที่ช่วยให้การวางแผนการใช้ไอซีทีขององค์กรมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ทำให้แผนระดับต่าง ๆ ตั้งแต่แผนธุรกิจไปจนถึงแผนไอทีทุกระดับมีความสอดคล้องกัน
ยังคงจำข้อความตอนหนึ่งที่เขียนไว้ในตอนที่ 1 ได้ว่า ธุรกิจไม่ว่าขนาดใด
ต่างเริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ (Vision) ของเจ้าของหรือผู้ประกอบการ
จากวิสัยทัศน์นำไปสู่การกำหนดยุทธศาสตร์ (Strategy) เพื่อให้รู้วิถีทางที่จะทำให้วิสัยทัศน์เป็นจริง และให้ธุรกิจมุ่งสู่เป้าหมาย (Goals)
ที่ได้กำหนดไว้
เพื่อบรรลุผลดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยเครื่องจักรอัตโนมัติ
รวมทั้งระบบคอมพิวเตอร์และระบบไอซีมาสนับสนุนการทำงานของพนักงานให้บรรลุเป้าประสงค์ตามยุทธศาสตร์
กรอบการวางแผนในลักษณะของ Business-IT Alignment
Model ที่กล่าว จึงเป็นแนวทางปฏิบัติสำคัญที่รองรับขั้นตอนการทำแผนเพื่อดำเนินงานให้บรรลุผลสู่วิสัยทัศน์ได้
ในตอนต่อไป
จะพูดถึงเรื่อง Business Motivation Model (BMM) โดยมี Service Science เป็นแนวคิดหนึ่งของ Influencer (ปัจจัยที่มีอิทธิพล) ที่มีผลต่อการกำหนดวิสัยทัศน์
ยุทธศาสตร์ และเป้าหมาย ก่อนที่จะเริ่มบรรยายเรื่อง Enterprise
Architecture ในบริบทที่เป็นเครื่องมือหรือแผ่นพิมพ์เขียว
(Blueprint) ที่จะช่วยให้องค์กรใช้อ้างอิงและนำทางเพื่อปรับเปลี่ยนแผนนโยบายหรือยุทธศาสตร์ตามกรอบทั้ง
4 ส่วนของ Business-IT Alignment Model เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากสภาพแวดล้อมได้อย่างคล่องตัวและทันต่อเหตุการณ์
และที่สำคัญ ทุกครั้งที่มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ธุรกิจ ก็จะสามารถปรับปรุงระบบไอซีที
และโครงสร้างพื้นฐานของไอซีทีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ธุรกิจ เพื่อช่วยขับเคลื่อนองค์กรตามยุทธศาสตร์ใหม่ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิผล
[1] Henderson,
J.C and Venkatraman, N. “Strategic Alignment: Leveraging Information Technology
for Transforming Organization.” IBM System Journal, 32(1) 1993.
No comments:
Post a Comment