(Roles of Enterprise Architecture
and Service Science in Modern Business Management)
ในศตวรรษนี้ ความสลับซับซ้อนในเชิงธุรกิจที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค
และความตระหนักในเรื่องมีส่วนร่วมเพื่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวทางการแข่งขันทางธุรกิจ ความสลับซับซ้อนได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าของไอซีที
โดยเฉพาะทิศทางของ Mobile Cloud Computing ซึ่งมีผลทำให้ผู้บริโภคสามารถทำธุรกรรมกับใครก็ได้ เมื่อไรก็ได้ และที่ใดก็ได้
ความอยู่รอดขององค์กรไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือเล็ก
ส่วนหนึ่งต้องขึ้นอยู่ที่ความสามารถจัดการทรัพยากรที่มีจำกัด สร้างผลลัพธ์ให้ตรงตามเป้าประสงค์ ให้มีความสิ้นเปลืองน้อยที่สุด และต้องมีความคล่องตัวที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์
(Agility) เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกที่กดดันธุรกิจในทุก
ๆ ด้านได้ ธุรกิจไม่ว่าขนาดใด ต่างเริ่มต้นจากวิสัยทัศน์
(Vision) ของเจ้าของหรือผู้ประกอบการ
จากวิสัยทัศน์นำไปสู่การกำหนดยุทธศาสตร์ (Strategy) เพื่อให้รู้วิถีทางที่จะทำให้วิสัยทัศน์เป็นจริง และให้ธุรกิจมุ่งสู่เป้าหมาย (Goals) ที่ได้กำหนดไว้ เพื่อบรรลุผลดังกล่าว
ธุรกิจมีการจ้างคนเพื่อช่วยทำงานให้ได้ผลตามยุทธศาสตร์
โดยแต่ละคนจะถูกมอบหมายให้รับบทบาทหน้าที่ตามสมควร ผู้ที่ถูกมอบหมายให้ทำงานในหน้าที่ต่าง
ๆ ต้องทำงานตามกลยุทธ์ (Tactic) มีวัตถุประสงค์ (Objective) ที่ชัดเจน และทำงานตามขั้นตอน (Activities) ตามกระบวนการ
(Business processes) ตามบทบาท (Roles) และกฎระเบียบ (Rules) ที่ถูกกำหนดขึ้น และเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลจำเป็นต้องอาศัยเครื่องจักรอัตโนมัติ
รวมทั้งระบบคอมพิวเตอร์และระบบไอซีที (Information and Communication
Technology, ICT) การลงทุนด้านไอซีทีจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการทำงานของพนักงานให้บรรลุเป้าประสงค์ตามกลยุทธ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่จะนำไปสู่วิสัยทัศน์ที่องค์กรกำหนดไว้ เมื่อองค์กรมีขนาดใหญ่ขึ้น
มีจำนวนพนักงานที่ทำงานตามบทบาทหลากหลายมากขึ้น และที่สำคัญ องค์กรนั้นจะไม่อยู่นิ่งและพลวัตสูงมาก
มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธศาสตร์และยุทธศาสตร์บ่อยครั้งกว่าสมัยก่อน
ระบบไอซีทีทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบข้อมูลจึงจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
และต้องทำได้อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เสียโอกาสในสภาวการณ์ที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรง
การบริหารจัดการเพื่อให้ไอซีทีมีความสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจและแผนธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องพึ่งพาอาศัยวิธีทำงาน
(Method) ที่มีกรอบ (Framework) ชัดเจนและปฏิบัติได้ด้วยคนทุกระดับ
ในงานทุก ๆ ด้าน (Aspects) กรอบอย่างเช่น Enterprise Architecture
(EA) จึงได้เข้ามาอยู่ในความสนใจของธุรกิจ หวังที่จะช่วยให้องค์กรมีต้นแบบหรือ
Blueprint ขององค์กรที่จะสนับสนุนการกำหนดกลยุทธ์และปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ได้อย่างคล่องตัว
มีความเสี่ยงน้อย และสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ความสลับซับซ้อนของสถานภาพทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นนี้ได้
Enterprise Architecture[1] มีความหมายสองอย่างคือ
1.
ความหมายในเชิงโครงสร้าง
(Structure) เหมือนโครงสร้างของอาคาร ประกอบด้วยสิ่งต่าง
ๆ เช่นเสาอาคาร พื้นอาคาร ระบบไฟฟ้า ระบบระบายน้ำ ระบบระบายอากาศ ฯลฯ นอกจากนี้ ยังอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่าง
ๆ ของโครงสร้าง เช่นความสัมพันธ์ระหว่างระบบไฟฟ้า ระบบระบายน้ำกับอาคาร เป็นต้น สถาปัตยกรรมขององค์กร
(Enterprise Architecture) ก็ไม่ต่างกัน เป็นการบรรยายสถาปัตยกรรมขององค์กรที่ประกอบด้วยโครงสร้างทางธุรกิจ
(Business Architecture) โครงสร้างด้านข้อมูล (Data
Architecture) โครงสร้างระบบงาน (Application Architecture) และสถาปัตยกรรมระบบไอที (Technology Architecture) ดังรายละเอียดที่จะบรรยายต่อไป
2.
ความหมายในเชิงกระบวนการ
(Process) หมายถึงกระบวนการทำให้เกิดสถาปัตยกรรมขององค์กรขึ้น
ซึ่งจะมีขั้นตอนที่คล้ายกับการสร้างสิ่งอื่น ๆ ประกอบด้วยขั้นตอน เช่นการวิเคราะห์ความต้องการ
การออกแบบ การสร้าง การประเมินผล และการปรับปรุง
เมื่อพูดถึงสถาปัตยกรรมขององค์กร
จำเป็นต้องระลึกอยู่เสมอว่า ความสำคัญจะอยู่ในด้านของธุรกิจ (Business aspect) มีไอซีทีเป็นเพียงตัวสนับสนุน
เมื่อเป็นเช่นนี้ Enterprise Architecture (EA) (จากนี้ไปจะใช้ EA หรือ อีเอ โดยย่อ เพื่อความกระชับ) จึงมี
Business Architecture เป็นตัวนำเพื่อการออกแบบโครงสร้างเชิงสถาปัตยกรรมขององค์กร
โดยมียุทธศาสตร์ทางเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบ และต้องให้ธุรกิจและไอทีทำงานสอดคล้องกัน
(Business-IT Alignment) ด้วยเหตุนี้ บทความนี้จะเริ่มด้วยการบรรยายแนวคิดของ
Business-IT Alignment ก่อน ตามด้วย Business
Motivation Model (BMM) เพื่อสนับสนุนแนวคิดการออกแบบ Business
Architecture โดยมี Service Science เป็นแนวคิดหนึ่งของ
Influencer (ปัจจัยที่มีอิทธิพล) ต่อการกำหนดวิสัยทัศน์
ยุทธศาสตร์ และเป้าหมาย แล้วจึงบรรยายตามด้วยเรื่อง Enterprise
Architecture ในบริบทที่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรับมือกับแรงกดดันจากสภาพแวดล้อมได้อย่างคล่องตัวและทันต่อเหตุการณ์
และที่สำคัญ สามารถปรับปรุงระบบไอซีที และโครงสร้างพื้นฐานของไอซีทีให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ธุรกิจเพื่อช่วยขับเคลื่อนองค์กรตามยุทธศาสตร์ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิผล
1.
Business-IT
Alignment
นานแล้วที่ผู้รู้ได้แนะนำอยู่เสมอว่า อย่าลงทุนในไอซีที
ไม่ว่าจะมากหรือน้อยโดยไม่ตอบคำถามว่าจะลงทุนไอซีทีเพื่ออะไร เพื่อแก้ปัญหาอะไร
หรือเพื่อหวังคุณค่าอะไร เป็นเวลากว่ายี่สิบปีที่นักวิชาการได้สอนเราให้ตระหนักว่า
การลงทุนไอซีทีต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ธุรกิจ ที่นิยมใช้คำว่า Business Strategy-IT Strategy Alignment
แนวคิดหนึ่งเกี่ยวกับความสอดคล้องระหว่างยุทธศาสตร์ไอทีและยุทธศาสตร์ธุรกิจ
ซึ่งเข้าใจง่าย ปฏิบัติได้ และยอมรับกันอย่างกว้างขวาง เป็นแนวคิดของ Henderson
และ Venkatraman[2] ที่แนะนำว่า เพื่อให้สามารถตอบคำถามว่า เราจะลงทุนไอทีไปทำไมนั้น
จำเป็นต้องเข้าใจองค์กรในองค์รวม (Holistic
view) ที่มี 2 ด้าน (Aspects) ด้านแรกคือตัวธุรกิจ (Business) และด้านที่สองคือตัวไอที
(Information Technology) ในแต่ละด้านยังให้พิจารณาแยกเป็นสองส่วน คือส่วนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ (Strategy)
และส่วนเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและกระบวนการ (Infrastructure
and processes) รวมกันเป็น 4
ส่วน (Domain) แล้วจึงอาศัยส่วนประกอบทั้ง 4
ส่วนเป็นฐานในการพิจารณากำหนดยุทธศาสตร์เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกันระหว่างธุรกิจและไอที
แต่ละส่วนมีความหมายดังนี้
1)
ส่วนที่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ด้านธุรกิจ
(Business Strategy)
ส่วนนี้ประกอบด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจ ขอบเขตการทำธุรกิจ
รวมทั้งมาตรการสร้างความโดดเด่นในด้านต่าง ๆ ที่เป็นศักยภาพการแข่งขัน
และมาตรการกำกับองค์กรเพื่อให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน
2)
ส่วนที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและกระบวนการทางธุรกิจ
(Business organization and processes)
ส่วนนี้ประกอบด้วยการกำหนดโครงสร้างบริหารองค์กร
การจัดบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบตามสายบังคับบัญชา การพัฒนาทักษะของพนักงานเพื่อสามารถทำงานตอบสนองกลยุทธ์ขององค์กร
นอกจากนี้ยังรวมทั้งการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการ (Business processes) ต่าง ๆ
ที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจตามยุทธศาสตร์ด้วย
3)
ส่วนที่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ด้านไอที
(IT Strategy)
ส่วนนี้ประกอบด้วยกลยุทธ์ในการเลือกใช้ไอทีที่เหมาะสม
ที่สามารถตอบสนองขอบเขตการใช้ไอทีเพื่อขับเคลื่อนองค์กร นโยบายในการพัฒนาระบบงานคอมพิวเตอร์ที่มีความยืดหยุ่นและตอบสนองกลยุทธ์ของธุรกิจได้
รวมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติที่ดีเพื่อการบริการไอทีทั้งหน่วยงานภายในและภายนอก
4)
ส่วนที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานไอทีและกระบวนการทางไอที
(IT Infrastructure and IT processes)
ส่วนนี้ประกอบด้วยการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที
การกำหนดโครงสร้างองค์กรด้านไอทีด้วยการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบและกำหนดบทบาทของเจ้าหน้าที่ด้านไอซีทีอย่างเหมาะสม
มีมาตรการพัฒนาทักษะด้านเทคนิคในกลุ่มพนักงานตามบทบาทหน้าที่ได้อย่างทันสมัย
อีกทั้งสามารถจัดหาหรือพัฒนาระบบงานที่สามารถขับเคลื่อนองค์กรตามนโนบายและยุทธศาสตร์ของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การกำหนดนโยบายเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกันระหว่างยุทธศาสตร์ธุรกิจและยุทธศาสตร์ไอที
จึงเป็นการกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ยุทธศาสตร์เข้ากันได้กับการปฏิบัติงาน (Strategic fit) ในขณะเดียวกันต้องให้นโยบายและแนวทางปฏิบัติงานระหว่างด้านธุรกิจและด้านไอทีรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้
(Functional integration) ซึ่งหมายความถึงความสามารถที่ทำให้ธุรกิจและไอทีทำงานกลมกลืนกัน
ทำงานแบบบูรณากันเป็นเนื้อเดียวกันได้ มาตรการที่ทำให้เกิด Strategic fit และ Functional integration เป็นพื้นฐานของการทำให้เกิดความสอดคล้องระหว่างธุรกิจและไอที
(Business-IT Alignment) ภาพที่ 1 แสดงให้เห็นภาพรวมในสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น
ภาพที่ 1 แสดงความสัมพันธ์ที่สอดคล้องระหว่างธุรกิจและไอที
ภาพที่ 1 ที่มององค์กรจากทั้งสองด้าน (Aspects)
ในลักษณะสี่ส่วน (Domains) ที่กล่าว เกิดเป็นความสอดคล้องในเชิงธุรกิจกับไอทีได้เป็นสี่มุมมอง
(Perspective) เพื่อให้สามารถเข้าใจความหมายของ Business-IT
Alignment ทั้งสี่มุมมองได้ง่ายและชัดเจน ขอยกตัวในอย่างกรณีที่องค์กรกำลังพิจารณาจะใช้บริการ
Cloud Computing ประกอบการอธิบาย โดยแบ่งแยกแนวคิดที่จะกำหนดยุทธศาสตร์ให้สอดคลองกันเป็นสองลักษณะ
คือ 1) จากมุมมองที่เริ่มต้นจากยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ และ 2)
จากมุมมองที่เริ่มต้นจากยุทธศาสตร์ทางไอที ดังรายละเอียดที่จะบรรยายต่อไป
[1]ความแตกต่างระหว่างคำว่า
Architecture
และ Structure เป็นที่โต้เถียงกันมาก มีทั้งความเหมือนและความแตกต่าง ขึ้นอยู่ที่บริบทของการใช้คำสองคำนี้ แนะนำให้อ่านจาก Blog ของ
Mohamed Sami จากลิงค์ข้างล่าง ในบทความนี้
จะใช้ทดแทนกันตามความเหมาะสมตามบริบท
http://melsatar.wordpress.com/2013/01/05/difference-between-software-architecture-software-structure-and-software-design/
[2] Henderson, J.C and Venkatraman, N. “Strategic
Alignment: Leveraging Information Technology for Transforming Organization.”
IBM System Journal, 32(1) 1993.
No comments:
Post a Comment