การใช้บริการไอซีทีจากบุคคลภายนอกรวมทั้งการใช้บริการ Business Process Outsourcing (BPO) ในรูปแบบบริการคลาวด์นับวันจะเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นแนวทางใช้เทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมในหลาย
ๆ ด้านที่ธุรกิจไม่สามารถมองข้ามได้ การใช้บริการคลาวด์เป็นเรื่องใหม่ที่จำเป็นต้องมีหลักยึดเพื่อช่วยพิจารณาว่าถึงเวลา
หรือสมควรหรือไม่ที่จะเปลี่ยนจากการลงทุนในไอซีทีมาเป็นใช้บริการคลาวด์แทน
และเมื่อใช้แล้วต้องปฏิบัติอย่างไรจึงมีความปลอดภัย หรือความเสี่ยงน้อยที่สุด
โดยทั่วไปหลักที่ใช้เพื่อการพิจารณาหลัก ๆ ประกอบด้วย
1.
พิจารณาจากคุณค่าที่พึงจะได้รับ
ซึ่งอาจหมายถึงการลดค่าใช้จ่าย การพัฒนากระบวนการทำงานใหม่ที่ดีกว่า
การสร้างนวัตกรรมที่สามารถบริการลูกค้าได้ดีกว่า เป็นต้น
2.
องค์กรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง
Cloud Computing ดีระดับเพียงพอที่จะกำหนดยุทธศาสตร์ด้านไอซีทีที่เหมาะสมกว่า
และมีความเข้าใจความเสี่ยง (Risk exposure) ต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการใช้บริการคลาวด์ และพร้อมที่จะกำหนดมาตรการในการจัดการและลดความเสี่ยงในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความกังวลในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยเกี่ยวกับข้อมูล
และคุณภาพ และ Performance ที่ยังคาใจอยู่ในกลุ่มผู้ใช้ เพราะไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนได้ หลายคนเสาะหาข้อแนะนำเพื่อเป็นแนวทางสำหรับเลือกผู้ให้บริการ
(Service provider) เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ผู้ให้บริการที่ปลอดความเสี่ยงและให้บริการอย่างมีคุณภาพได้
บทความนี้ต้องการหาคำตอบให้ผู้ที่กำลังจะใช้บริการคลาวด์ในระดับหนึ่ง
โดยแบ่งประเด็นการนำเสนอเป็น 3 หัวข้อคือ 1) ข้อคิดการเลือกผู้ให้บริการ 2) ข้อที่พึงตระหนักเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล
และ 3) ข้อคิดในการทำสัญญาบริการ
1.
ข้อคิดในการเลือกผู้ให้บริการ
ผู้ให้บริการคลาวด์มีมากมาย
ทั้งขนาดยักษ์และขนาดจิ๋ว ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ผู้ใช้ต้องมีความรอบคอบที่จะคัดเลือกผู้ให้บริการที่เหมาะสม
ในกระบวนคัดเลือกผู้ให้บริการนั้นอย่างน้อยต้องทำ Due Diligence ในตัวผู้ให้บริการเพื่อให้มั่นใจว่ามีมั่นคง
จะไม่ล้มหายตายจากไปภายในปีสองปี การประเมินความมั่นคงของผู้ให้บริการนั้น ให้ศึกษาจากผลประกอบการว่ามีความมั่นคงทางการเงินเพียงใด
แนวทางและรูปแบบธุรกิจมีโอกาสจะเติบโตและแข่งขันอย่างยั่งยืนได้เพียงใด การเปลี่ยนมาใช้บริการคลาวด์จากบุคคลภายนอก
เท่ากับบริษัทกำลังฝากความสำเร็จให้กับผู้ให้บริการคลาวด์ ถ้าผู้ให้บริการมีปัญญา
จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เนื่องจากข้อกังวลของผู้ใช้บริการคลาวด์ยังอยู่ในประเด็นของความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล
และคุณภาพและ Performance ของการให้บริการระบบไอซีที
ความสำเร็จของผู้ให้บริการจึงอยู่บนพื้นฐานว่าได้ลงทุนในเรื่องดังกล่าวมากน้อยเพียงใด
โดยเฉพาะได้ลงทุนในบุคลากรเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีเพียงใด
วิธีหนึ่งที่นิยมทำกันคือ
ให้ผู้ใช้จัดเตรียมร่าง เอกสารเชิญชวนยื่นข้อเสนอ
(Request for proposal (RFP) ที่ค่อนข้างเป็นมาตรฐานไว้ล่วงหน้า
โดยให้ผู้ยื่นข้อเสนอส่งมอบข้อมูลที่ใช้วิเคราะห์สถานะของบริษัทในเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงทางการเงิน
ความเป็นไปได้ในรู้แบบธุรกิจ (Business
model viability) และด้านความพร้อมเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล
และการให้บริการอย่างมีคุณค่าและมี Performance ที่ดี
ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ใช้บริการคลาวด์มักจะพบปัญหาว่าไม่สามารถกำหนดระดับความเสี่ยง
หรือระดับคุณภาพบริการที่ควรได้รับจากคลาวด์ในบริบทของตนเอง การกำหนดเงื่อนไขในเอกสารเชิญชวนยื่นข้อเสนอ (Request for
proposal (RFP) จึงทำได้ยากในระยะแรก
วิธีที่ดีคือให้เริ่มทดลองใช้บริการเล็ก ๆ เป็นโครงการนำร่อง (Pilot project) ก่อนเพื่อการเรียนรู้
การมีโอกาสได้สัมผัสกับบริการคลาวด์จริงจากผู้ให้บริการ ทำให้ผู้ใช้เริ่มเรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตนเองและผู้ให้บริการในบริบทของบริการคลาวด์
เข้าใจระดับความเสี่ยงที่คาดว่าจะได้รับ และเข้าใจผลกระทบที่อาจเกิดจากการบริการที่ด้อยคุณภาพ
การเรียนรู้จากโครงการนำร่อง จะนำไปสู่การพัฒนาเงื่อนไขที่นำมาใช้กำหนดในเอกสารเชิญชวนยื่นข้อเสนอ (Request for
proposal (RFP)
สำหรับโครงการใหญ่ต่อไป
2.
ข้อที่พึงตระหนักเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล
ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลยังเป็นข้อกังวลในใจอันดับแรกของผู้ใช้บริการคลาวด์
ในยุคที่องค์กรยังประมวลผลจากศูนย์คอมพิวเตอร์ของตนเอง ได้สร้างกำแพง หรือ Fire wall ล้อมรอบระบบคอมพิวเตอร์ไว้อย่างแน่นหนาเพื่อกันการบุกรุกจากบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาจากภายนอก
บังเกิดความสบายใจและรู้สึกปลอดภัย แต่เมื่อถึงคราเปลี่ยนมาประมวลผลจากศูนย์บริการคลาวด์ผ่านอินเทอร์เน็ต
ความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลไม่เพียงเกิดจากการนำข้อมูลไปประมวลผลในอุปกรณ์ของบุคคลที่สาม
แต่โดยโครงสร้างของระบบ Cloud Computing ผู้ใช้ไม่มีทางรู้ว่า
ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ข้อมูลถูกประมวลผลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ชุดใด ในประเทศใด
และข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูล ณ แห่งหนใด
ซึ่งเป็นเรื่องไม่น่าแปลงใจที่เจ้าของข้อมูลต้องเกิดความกังวล
ในเรื่องนี้
การ์ตเนอร์ได้แนะนำให้ผู้ใช้สอบถามจากผู้ให้บริการ 7 เรื่อง[1] เพื่อประกอบการประเมินศักยภาพของผู้ให้บริการในเรื่องรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูล
เพื่อให้รู้ว่า ตนเองจะมีความเสี่ยงระดับใด และจะต้องหามาตรการแก้ไขล่วงหน้าอย่างไรเมื่อเลือกผู้ให้บริการนี้แล้ว
1)
การเข้าถึงของผู้ที่มีสิทธิพิเศษ
(Privileged user access)
ให้ถามผู้ให้บริการว่า
มีมาตรการอย่างไรในการจัดการให้เจ้าหน้าที่ของผู้ให้บริการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้า โดยเฉพาะเงื่อนไขการให้สิทธิ์ในการเข้าถึงฐานข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ของผู้ให้บริการที่ทำหน้าที่จัดการระบบฐานข้อมูลและระบบงาน
2)
การปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Regulatory compliance)
ธุรกิจบางประเภทจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางราชการเพื่อปกป้องความลับข้อมูลส่วนบุคคลและประโยชน์ของผู้บริโภค
เช่นธนาคาร โรงพยาบาล บริษัทมหาชน ฯลฯ
เมื่อธุรกิจเหล่านี้ใช้บริการคลาวด์จากบุคคลที่สาม
การรับผิดในเรื่องนี้ก็ยังตกเป็นภาระของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการคลาวด์ต้องมีมาตรการช่วยปกป้องไม่ให้เกิดปัญหาแก่ผู้ใช้บริการ
โดยเจ้าหน้าที่ของผู้ให้บริการอาจจำเป็นต้องผ่านการฝึกอบรมในเรื่อง Regulatory compliance อย่างดี และอาจถึงขั้นต้องผ่านการรับรองเรื่องเกี่ยวกับ
Security (Security
certification)
จากสถาบันที่น่าเชื่อถือ
3)
การระบุตำแหน่งของข้อมูล (Data location)
ผู้ให้บริการคลาวด์บางรายอาจมีศูนย์คอมพิวเตอร์กระจายอยู่ประเทศต่าง
ๆ ทั่วโลก
ผู้ใช้จะไม่มีโอกาสได้รู้ว่าข้อมูลของตนกระจายไปอยู่ในศูนย์คอมพิวเตอร์ของประเทศใด
หลายประเทศมีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และมีเงื่อนไขห้ามการโยกย้ายข้อมูลไปในประเทศที่ไม่กฎหมายคุ้มครอง
หรือไม่ให้โยกย้ายเลย ผู้ใช้อาจต้องถามผู้ให้บริการว่า สามารถให้บริการโดยมีข้อมูลอยู่ภายในประเทศ
หรือในประเทศที่กำหนดได้หรือไม่
4)
การแยกข้อมูลจากลูกค้าหลายคน
(Data segregation)
หลักการทำงานของ Cloud computing คือการ Share
resources หรือแบ่งปันใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ร่วมกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ระบบซอฟต์แวร์ที่ให้บริการแบบ Software as a Service มักถูกออกแบบให้ข้อมูลของลูกค้าทุกรายใช้ฐานข้อมูลร่วมกัน
แต่อาศัยมาตรการทางเทคนิคเพื่อการแยกข้อมูลออกจากกัน และเพื่อความปลอดภัย
ผู้ให้บริการอาจจะใช้เทคนิคเข้ารหัส (Encryption) เพื่อการแยกข้อมูลระหว่างกันอย่างปลอดภัย
ผู้ใช้อาจต้องเรียนรู้วิธีเข้ารหัสที่ผู้ใช้นำมาใช้กับข้อมูลของตน และต้องพิสูจน์ว่าเป็นวิธีที่มีความปลอดภัย
เนื่องจากเทคนิคเข้ารหัสที่ไม่มีศักยภาพอาจทำให้ข้อมูลเสียหาย หรือถูกทำลายจนแก้ไขไม่ได้
5)
การกู้คืนข้อมูล (Recovery)
เพื่อป้องกันการหยุดชะงักของธุรกิจที่อาจเกิดจากระบบคอมพิวเตอร์ล้มเลวหรือเสียหายอันเกิดจากภัยพิบัติ
ในกรณีที่ทำงานกับศูนย์คอมพิวเตอร์ของตนเอง มักจะใช้มาตรการทำสำเนาฐานข้อมูลไว้เป็นประจำ
และกำหนดวิธีแก้ไขกู้คืนข้อมูลรวมทั้งระบบงานได้ ในกรณีใช้บริการคลาวด์
ผู้ใช้ต้องมั่นใจว่าผู้ให้บริการมีมาตรการในการแก้ไขเหตุอันไม่คาดคิดที่เป็นอันตรายต่อระบบงานและระบบข้อมูลของผู้ใช้บริการ
ให้ถามผู้ให้บริการว่า เขามีมาตรการอย่างไรในการจัดทำระบบสำรองข้อมูล และมีวิธีกู้คืนระบบงานและระบบข้อมูลอย่างไร
โดยเฉพาะกรณีที่บริการจากศูนย์คอมพิวเตอร์ในหลาย ๆ ประเทศ ถ้าเป็นไปได้
ให้ผู้ให้บริการสัญญาว่าจะสามารถกู้คืนระบบงานและระบบข้อมูลสู่สภาวะปกติภายในเวลาที่กำหนด
6)
การตรวจสอบหรือสืบสวนในกรณีที่เกิดการกระทำมิชอบ
(Investigative support)
การแกะรอยการกระทำผิดกับงานที่ใช้บริการคลาวด์นั้นทำได้ยากมาก
เนื่องจากระบบงานและระบบข้อมูลมีโอกาสถูกแยกกระจายไปอยู่หลาย ๆ
แห่งที่เชื่อมโยงกันผ่านอินเทอร์เน็ต การสืบสวนสอบสวนเมื่อเกิดการแฮก (Hack) จึงเกือบทำไม่ได้เลย ให้ถามผู้ให้บริการว่ามีมาตรการแก้ไขอย่างไร
ถ้าคำตอบนั้นไม่ชัดเจน ผู้ใช้ต้องยอมรับว่าเป็นความเสี่ยงที่ต้องพึงระวัง
และหามาตรการเยี่ยวยาเพื่อบรรเทาความเสียหายในระดับที่ยอมรับได้ด้วยตนเอง
7)
ความมั่นคงในตัวผู้ให้บริการ
(Long-term viability)
ถึงแม้จะระมัดระวังคัดเลือกผู้ให้บริการที่มีความมั่นคงและบริการอย่างมีคุณภาพได้
แต่ก็ไม่มีใครรับรองได้ว่าผู้ให้บริการจะไม่ล้มละลายหรือถูกยึดครองโดยบริษัทอื่น สิ่งที่ผู้ใช้สามารถป้องกันได้
คือกำหนดมาตรการแก้ไขด้วยวิธีการให้ผู้ให้บริการสัญญาจะมอบข้อมูลคืนเพื่อนำไปใช้กับศูนย์บริการอื่นได้
ดังนั้น ผู้ใช้ต้องถามผู้ให้บริการว่ามีวิธีการส่งคืนข้อมูลได้ด้วยวิธีใด
และเป็นรูปแบบใด เพื่อจะได้เตรียมตัวล่วงหน้าในการโอนถ่ายข้อมูลไปทำงานกับระบบงานอื่นเมื่อมีความจำเป็นโดยไม่เกิดความเสียหาย
ในตอนหน้าจะพูดถึงเรื่องข้อคิดในการทำสัญญาบริการ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับ SLA ครับ
ขอบคุณมากครับ อ.ดร.มนูฯ ผมสังกัดอาชีวศึกษา (สอศ.) ครับ ขออนุญาตนำบทความของ อ.ดร.มนูฯไปใช้อ้างอิงครับ ประด็นของผมคือควรจะต้องให้บริการ ICT แก่วิทยาลัยและหน่วยงาน สอศ.อย่างไรจึงจะช่วยบรรเทาปัญหาเรื่องการนำ ICT ไปใช้ทั้งในด้านการจัดการเรียนการสอนเพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพด้านการบริการจัดการ เนื่องจากผลสัมฤทธิ์จริงๆก็คือนักเรียนนักศึกษาทุกคน (ระดับ ปวช.) เมื่อเรียนจบต้องเป็นกำลังแรงงานระดับทักษะฝีมือในการทำงานสายอาชีพต่างๆ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก
ReplyDeleteผมไปเจอคำตอบบางส่วนจากตอนที่ 2 (ไม่มีคนเครื่องมือและงบประมาณ) จึงย้อนกลับมาศึกษาตอนที่ 1 ครับ เนื่องจากบริบทที่เป็นอยู่ขณะนี้เป็นวิกฤตมากกว่าโอกาส อยากฟังความคิดเห็นหรือแนวทางข้อแนะนำของ อ.ดร.มนูฯเกี่ยวกับ สอศ.บ้าง ต้องขออภัยหากเป็นการรบกวน ..เคารพและนับถือครับ อ.ดร.มนูฯ
ศุภสัณห์ prapan29@gmail.com
ขออภัยครับ อ.ดร.มนูฯ ขอแก้ไขเป็น คำตอบบางส่วนจากข้อ 2. องค์กรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง Cloud Computing (ไม่มีคนไม่พร้อมทั้งเรื่องความรู้และงบประมาณ)
ReplyDelete