ในตอนที่ 6 ได้อธิบายความหมายของระบบจัดการบริการ
ส่วนหนึ่งของระบบจัดการบริการคือการจัดการระบบส่งมอบบริการ (Service
Delivery System) คลาวด์คอมพิวเตอร์เป็นรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะกับระบบส่งสอบบริการ ในตอนใหม่นี้ จะพูดเรื่องแนวคิดการสร้างองค์กรใหม่ที่เน้นบริการ
หรือ Service Oriented Enterprise และอธิบายเทคโนโลยีไอซีทีที่นำมาสร้างให้เป็นระบบนิเวศไอซีที
(ICT Ecosystem)รองรับการทำงานขององค์กรลักษณะที่กล่าว
องค์กรที่มุ่งเน้นการให้บริการ
(Service Oriented Enterprise)
เป้าหมายหลักขององค์กรทุกวันนี้
เป็นเรื่องทำให้องค์กรเป็น Service Oriented Enterprise (SOE) หรือองค์กรที่มุ่งเน้นการให้บริการ องค์กรจะเป็น SOE ได้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดและตรรกะของธุรกิจใหม่โดยให้ความสำคัญกับบริการและการสร้างคุณค่า
ในขณะเดียวกันต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้มีสมรรถนะด้านบริการทั่วทั้งองค์กร
นอกจากนี้ ยังต้องจัดสร้างระบบบริการด้วยไอซีทีที่มีความยืดหยุ่น
และสามารถปรับเปลี่ยน (Reconfigure) กระบวนการทำงานที่เหมาะสมตามสถานการณ์การแข่งขัน
และตามบริบทของผู้ใช้บริการได้
องค์กรเช่นว่านี้
ต้องสร้างสมรรถนะการทำงานร่วมกับบุคคลภายนอก และร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด
งานบริการต้องทำกับตัวบุคคลและปฏิสัมพันธ์กันระหว่างบุคคล การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิผลจึงเป็นปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จ นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงสมรรถนะการจัดการความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายด้วย Mulholland
et al (2010)[1]
กล่าวในหนังสือเรื่อง “Enterprise Cloud Computing”
ว่า องค์กรที่มุ่งเน้นการให้บริการมีลักษณะแตกต่างกับองค์กรทั่วไปอย่างน้อย
3 ประการดังนี้
1.
สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าและตลาดได้รวดเร็ว
ทันเวลา
2.
มีระบบบริการที่พร้อมจะทำงานร่วมกับผู้อื่น
ระบบบริการที่เป็นไอซีทีพร้อมจะปรับปรุงเพื่อรับเหตุการณ์)Reconfigure)
และพร้อมเชื่อมโยงกับระบบบริการของพันธมิตรเพื่อบริการลูกค้าได้รวดเร็วทันเวลา
3.
เป็นองค์กรที่มีสมรรถนะในการเรียนรู้
และพร้อมที่จะสร้างนวัตกรรมบริการร่วมกันพันธมิตรเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ
ด้วยรูปแบบธุรกิจใหม่ )New business model)
ด้วยคุณลักษณะองค์กรที่กล่าวข้างต้น
จำเป็นต้องมีระบบบริการที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนดังนี้
1.
มีระบบโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีที่รองรับงานบริการ
(Service Oriented
Infrastructure) เป็นระบบไอซีทีสมัยใหม่ที่ทำงานแบบยืดหยุ่น (Agile) ปรับตัวให้บริการด้วยทรัพยากรไอซีทีมากน้อยตามความต้องการของผู้ใช้ได้ (Elasticity) มีกลุ่มทรัพยากรและอุปกรณ์ไอซีทีที่ใช้ร่วมกันได้ (Shared resources) เช่น ระบบฐานข้อมูล ระบบซอฟต์แวร์ที่ทำงานเชิงบริการ (Service oriented software) รวมทั้งระบบที่รองรับการปรับปรุงกระบวนการทำงาน (Business processes) ตามความจำเป็นและรวดเร็วได้ และสามารถบริการตามรายกรณี(Case management) โครงสร้างพื้นฐานไอซีทีที่มีลักษณะที่กล่าว
คือโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นคลาดว์พิวติงนั่นเอง
2.
มีซอฟต์แวร์ที่ทำงานในรูปแบบบริการได้
(Service Oriented
Architecture, SOA)
เอสโอเอ เป็นคุณสมบัติของซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการเป็นเรื่อง
ๆ ตัวอย่าง
เช่นโปรแกรมซอฟต์แวร์คำนวณภาษีเงินได้ บริการคำนวณส่วนลดจากราคามาตรฐาน บริการตรวจสอบสถานภาพสินค้าคงคลัง
บริการเปิดบิลขายสินค้า ฯลฯ โปแกรมซอฟต์แวร์ที่มีคุณสมบัติเอสโอเอไม่จำเป็นต้องพัฒนาขึ้นใหม่อย่างเจาะจง
แต่อาจใช้ระบบซอฟต์แวร์ประยุกต์อื่นที่มีอยู่
ซอฟต์แวร์เหล่านี้ในบางสถานการณ์อาจทำงานแบบเอกเทศ (Standalone)
แต่ในบางโอกาสจะทำหน้าที่เป็นโปรแกรมให้บริการเฉพาะเรื่องได้ ด้วยเทคนิคของอินเตอร์เฟซ (Interface)[2] เราสามารถสร้างซอฟต์แวร์ให้ทำหน้าที่ประสานระหว่างซอฟต์แวร์ที่ใช้บริการกับซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการ เอสโอเอเป็นเทคนิคที่ทำให้ระบบซอฟต์แวร์ประยุกต์มีความยืดหยุ่นที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานได้โดยง่าย ความยืดหยุ่นเป็นคุณสมบัติสำคัญของระบบบริการที่อาศัยข้อมูล
(Information-intensive service)
องค์กรที่จะเป็น Service Oriented Enterprise
(SOE) ได้
ระบบซอฟต์แวร์ที่ใช้ส่วนใหญ่ต้องสามารถทำงานในรูปแบบบริการ
มีสถาปัตยกรรมในแบบเอสโอเอ หรือ Service oriented architecture
3.
มีระบบจัดการการกระบวนการทางธุรกิจ
(Business Process Management
System)
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าระบบส่งมอมบริการ (Service delivery system) ต้องมีความยืดหยุ่น
และสามารถปรับเปลี่ยนวิธีให้บริการได้ทันตามความต้องการของลูกค้า
และรับมือกับความกดดันจากการแข่งขันได้ การทำให้ระบบส่งมอบบริการมีความยืดหยุ่น
ต้องอาศัยเทคนิคของระบบจัดการกระบวนการ (Business Process Management
System, BPMS) ระบบนี้ทำงานโดยแยกกระบวนการออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรกทำงานด้วยคำสั่งที่เขียนในรูปบรรยายขั้นตอนของกระบวนการ ภาษาเทคนิคเรียกว่า
กระบวนการในเชิงนามธรรม (Process
abstraction) ส่วนที่สอง เป็นกลุ่มซอฟต์แวร์ที่มีคุณสมบัติเป็นเอสโอเอที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
เป็นชุดคำสั่งที่ทำงานจริง (Real service execution) ระบบ BPMS จะทำหน้าที่อำนวยการทำงานตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในส่วนแรก
แล้วเชื่อมโยงกับโปรแกรมส่วนทำงานจริง (Service) เพื่อให้เกิดผลจนเสร็จสิ้นกระบวนการให้บริการแบบจากต้นจนจบ (End-to-end
process)
การที่เรียกกระบวนการในเชิงนามธรรมนั้น เพราะกระบวนการในระดับนี้
เป็นเพียงบรรยายขั้นตอนทำงานว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ไม่ระบุรายละเอียดถึงวิธีทำงานจริง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
อธิบายว่า “นามธรรม หมายถึง สิ่งที่ไม่มีรูป” ในที่นี้ต้องการให้สื่อว่า
ส่วนที่เป็นกระบวนการในเชิงนามธรรม (Process abstraction) นั้นไม่ได้ระบุรายละเอียดของการทำงาน (No
action) เป็นเพียงบรรยายลำดับขั้นตอนการทำงาน
ลักษณะเช่นนี้ จะช่วยให้การปรับเปลี่ยนแก้ไขกระบวนการทำได้ง่ายและรวดเร็ว
เพราะทุกครั้งที่มีการแก้ไข ไม่จำเป็นต้องไปแก้ที่รายละเอียด
แก้เพียงส่วนบรรยายขั้นตอนซึ่งง่ายและสั้นกว่า แล้วจึงค่อยไปเลือกตัวโปรแกรมที่จะบริการจริงมารองรับทีหลัง
ถ้าไม่มีโปรแกรมบริการที่ต้องการ
จึงค่อยมอบหมายให้จัดทำขึ้นภายหลังได้โดยไม่กระทบกับเนื้อหาส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องภายในระบบโปรแกรมประยุกต์ ตัวอย่างเช่น ประโยค “บันทึกรายการสั่งซื้อ ให้คำนวณราคาตามรายการสินค้า
และราคารวม ถ้าราคาหน้าบิลรวมกับลูกหนี้คงค้างไม่เกินวงเงิน อนุมัติให้ขายได้” ประโยคนี้คือกระบวนการเชิงนามธรรม
บอกเพียงว่าให้ทำอะไร แต่ยังไม่บอกว่าต้องทำอย่างไร การบอกให้ทำอะไร
เป็นกระบวนการในเชิงนามธรรม แต่ส่วนที่บอกให้ทำอย่างไร คือส่วนที่เป็นบริการแท้ ๆ จากตัวอย่าง
ข้อความ “บันทึกรายการสั่งซื้อ” “คำนวณราคาตามรายการสินค้าและราคารวม” “ถ้าราคาหน้าบิลรวมกับลูกหนี้คงค้างไม่เกินวงเงิน” “อนุมัติให้ขายได้” จะต้องมีโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่มีตัวตนรองรับเพื่อทำหน้าที่บริการตามที่ระบุไว้ในกระบวนการเชิงนามธรรม
ด้วยเหตุที่เรากำหนดสถาปัตยกรรมของระบบซอฟต์แวร์ประยุกต์ ในลักษณะที่แยกส่วนบรรยายกระบวนการ
(Business
process) ออกจากตัวคำสั่งที่ทำงานจริง
คือตัวซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่บริการ (Services) จึงจำเป็นต้องมีระบบจัดการกระบวนการ (Business
Process Management System)
ทำหน้าที่ควบคุมและอำนวยการทำงานของชิ้นส่วนต่าง ๆ ของระบบซอฟต์แวร์ในขณะปฏิบัตงาน ผลที่ได้
คือทำให้ระบบบริการมีความยืดหยุ่นที่จะปรับเปลี่ยนการทำงนตามความจำเป็น (Reconfigure)
ความท้าทายของธุรกิจคือการสร้างนวัตกรรมบริการในรูปกระบวนการ
ที่จะบริการลูกค้าแบบจากต้นจนจบกระบวนการ (End-to-end
process) ในกรณีตัวอย่างบริการจำหน่ายตั๋วโดยสารเครื่องบิน
บริษัทการบินต้องจัดกระบวนการบริการผู้โดยสารตั้งแต่การตรวจสอบเที่ยวบิน
ตรวจสอบราคา สั่งซื้อตั๋ว ชำระเงิน จองที่นั่ง จนถึงการเช็คอิน “End-to-end”
หมายถึงการบริการจากจุดเริ่มจนถึงจุดสิ้นสุดการใช้บริการ
ในระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด องค์กรไม่จำเป็นต้องให้บริการทุกเรื่องด้วยตนเอง
แต่สามารถอาศัยระบบบริการของพันธมิตรได้
ตามตัวอย่างข้างต้น การชำระเงินอาจใช้ระบบบริการของบริษัทบริการบัตรเครดิต
การเช็คอินอาจเป็นระบบของการท่าอากาศยาน ในกรณีนี้ ระบบบริการของสายการบินต้องทำงานเชื่อมโยงกับระบบบริการของพันธมิตร
ให้บริการได้อย่างราบรื่นแบบไม่มีรอยต่อ ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องรับรู้ในรายละเอียดแต่อย่างใด
เพื่อบรรลุผลดังกล่าว องค์กร SOE ต้องจัดให้มีระบบจัดการกระบวนการทางธุรกิจ เพื่อควบคุมและประสานการทำงานของบริการทุกขั้นตอนภายใต้กฎกติกาที่กำหนดไว้
โดยทั่วไป ระบบจัดการกระบวนการจะมีหน้าที่หลัก ๆ ประกอบด้วย การควบคุม
และอำนวยการทำงานตามขั้นตอน (choreography และ orchestration) การสังเกตการณ์และเฝ้าระวังการทำงาน (Monitoring)
การปรับเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimization)
และการปรับเปลี่ยนขั้นตอนของกระบวนการ (Reconfigure)
องค์กรที่เน้นการให้บริการ (Service Oriented Enterprise) ต้องมีระบบนิเวศไอซีทีสนับสนุนการบริการที่รองรับการทำงานร่วมกันกับคนหลาย
ๆ กลุ่ม ทั้งจากพันธมิตรและผู้บริโภค คลาวด์คอมพิวติงมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการทำธุรกรรม
เชื่อมโยงระบบไอซีทีของธุรกิจและพันธมิตรด้วยอินเทอร์เน็ต ให้บริการลูกค้าจากต้นจนจบ (End-to-end process) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบจัดการกระบวนการที่จะช่วยให้ปรับเปลี่ยนกระบวนการ
ให้สอดคล้องกับกิจกรรมภายในห่วงโซ่อุปทานในแต่ละสถานการณ์ได้ คลาวด์จึงมีคุณค่ามากสำหรับธุรกิจที่เป็น Service
Oriented Enterprise เมื่อคลาวด์ทำงานร่วมกับเทคนิคเอสโอเอ
จะช่วยให้ระบบบริการประสานงานกับระบบ Back office ประกอบด้วยระบบจัดการทรัพยากรองค์กร ระบบบริหารการผลิต
ระบบบริหารภายใน และระบบอื่น ๆ ของทั้งองค์กรและของพันธมิตร
โดยระบบเหล่านี้จะร่วมให้บริการในลักษณะเป็นบริการเฉพาะเรื่องตามขั้นตอนของกระบวนการบริการ
สามารถให้บริการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างราบรื่นและไร้รอยต่อ
ธุรกิจที่ได้ปรับเปลี่ยนตรรกะการทำธุรกิจ
และใช้บริการคลาวด์ให้เกิดผลที่กล่าวข้างต้น
ถือได้ว่ามีความสามารถใช้ประโยชน์จากคลาวด์คอมพิวติงเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ
และสร้างคุณค่าที่แท้จริง
มิฉะนั้นคลาวด์ก็เป็นเพียงทางเลือกของวิธีจัดหาทรัพยากรไอซีทีเน้นที่การประหยัดค่าใช้จ่าย
ซึ่งไม่ทำให้องค์กรมีความแตกต่างจากผู้อื่นแม้แต่น้อย เพราะคู่แข่งก็มีโอกาสที่จะเลือกทางเดียวกันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
การปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่และ
กำหนดปรัชญาที่แตกต่างจากผู้อื่นมุ่งสู่ลู่ทางที่จะทำให้องค์กรเป็น SOE เท่านั้น
ที่จะทำให้คลาวด์คอมพิวติงช่วยพาเราไปสู่การทำธุรกิจที่แตกต่างจากคนอื่น
เพื่อการพัฒนาธุรกิจและสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า และสังคมได้อย่างยั่งยืน
ภาพต่อไปนี้ แสดงการสรุปปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ Service
Oriented Enterprise
ภาพ
แสดงแนวคิดและการใช้ไอซีทีเพื่อสนับสนุนให้องค์กรเป็น SOE
แรงขับเคลื่อนสามอย่างที่ปรากฏอยู่ในรูปที่
1
นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ประกอบด้วย 1) การพัฒนาไอซีที 2) ความตระหนักถึงปัญหาของโลกร้อน และ 3)
อินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมทำให้คนในสังคมเชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึงกัน
การเปลี่ยนแปลงนี้นำไปสู่การเปลี่ยนตรรกะของธุรกิจใหม่
(New
Business Logic) มีสองด้าน ด้านแรกเป็นแนวคิดที่จะสร้างคุณค่าให้แก่ผู้บริโภคและผู้ที่เกี่ยวข้อง
ด้านที่สองเป็น
แนวคิดการสร้างนวัตกรรมบริการบนพื้นฐานของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ที่มีคุณสมบัติพิเศษ ทำให้การบริการหลุดจากข้อจำกัดด้านเวลา (Time)
สถานที่ (Space) และผู้บริการ (Actors) นำไปสู่บริการที่สามารถสร้างคุณค่าได้อย่างหลากหลาย
เป็นบริการที่อาศัยข้อมูลเป็นส่วนใหญ่ (Information-intensive
services) นวัตกรรมบริการชนิดนี้จะสร้างความแตกต่างได้
และนำไปสู่การปฏิรูปแนวทางการทำธุรกิจที่อาศัยโครงสร้างพื้นฐานของไอซีทีเป็นพื้นฐาน
องค์กรที่ปรับตัวได้ตามลักษณะที่กล่าว เรียกว่า Service Oriented
Enterprise องค์กรประเภทนี้จะทำธุรกรรมร่วมกับลูกค้าและพันธมิตรบนเวทีการค้าใหม่ที่อาศัยคลาวด์คอมพิวติง
และกลุ่มเทคนิคร่วมประกอบด้วย เอสโอเอ และระบบจัดการกระบวนการ SOE เป็นรูปแบบใหม่ของธุรกิจที่มีความยั่งยืน
เป็นธุรกิจที่สร้างคุณค่าบนพื้นฐานของ Positive sum game คือไม่มีผู้เสีย มีแต่ผู้ได้
[1]
Mulholland, Andy, Pyke, Jon, Fingar, Peter (2010), Enterprise Cloud Computing:
A Strategy Guide for Business and Technology Leaders, Meghan-Keffer Press,
Tampa, USA, 2010.
[2]
อินเทอร์เฟซ (Interface)
ที่เป็นซอฟต์แวร์ทำหน้าที่คล้ายอินเทอร์เฟซแบบฮาร์ดแวร์
คือทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างซอฟต์แวร์สองชุด
เพื่อให้ซอฟต์แวร์ทั้งสองสามารถติดต่อสื่อสารและถ่ายเทข้อมูลระหว่างกันได้
No comments:
Post a Comment