ในตอนที่ 3 ได้ให้ตัวอย่างเกี่ยวกับแนวคิดการสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภค
ไปได้ 3 ตัวอย่าง คือ 1) ซื้อน้อยแต่ได้คุณค่ามาก 2) เครือข่ายที่ร่วมสร้างคุณค่า และ 3) คำนึงถึงคุณค่าส่วนบุคคล แต่ก่อนที่จะนำเสนอส่วนที่เหลือ จะขอทบทวนวัตถุประสงค์ของบทความชุดนี้
เพื่อประโยชน์สำหรับท่านผู้อ่านรายใหม่ จะได้ติดตามเรื่องที่จะนำเสนอต่อไปในอีกหลายตอนได้เข้าใจ
และรู้ที่มาที่ไป
บททบทวน
บทความเรื่องนี้
เกี่ยวกับวิทยาการบริการ (Service Science) และบริการคลาวด์คอมพิวติง (Cloud computing) วิทยาการบริการเป็นเรื่องของแนวคิดใหม่
หรือตรรกะใหม่ของธุรกิจที่เน้นบริการเป็นพื้นฐานของธุรกิจ เพื่อให้เกิดคุณค่า (Value)
แก่ผู้บริโภค โดยผู้บริโภคมีฐานะเป็นผู้ร่วมสร้างคุณค่า (Value
co-creation) ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของการบริการทั่วไปที่ลูกค้าต้องมีส่วนร่วม
เหตุผลสำคัญ เพราะโลกเราอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลง
ที่เป็นผลจากการพัฒนาทางเทคโนโลยี ความตระหนักถึงภัยจากภาวะโลกร้อน และสภาพการเชื่อมโยงกันของคนในสังคมทั่วทั้งโลกเนื่องมาจากอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคม
การเปลี่ยนแปลงทำให้ธุรกิจเริ่มหันมาสนใจยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับการสร้างคุณค่า (Value
creation) แต่การสร้างคุณค่าด้วยบริการนั้น
เป็นเรื่องการสร้างคุณค่าตามบริบทของผู้รับบริการซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง
และการมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างคุณค่าของลูกค้าทำให้กระบวนการทำงานของบริการมีความสลับซับซ้อน
และมีพลวัตสูงมาก และต้องพึ่งพาทรัพยากรจากภายในและภายนอกองค์กร
จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าช่วยเหลือ
เมื่อไอซีทีเข้ามามีบทบาทในกระบวนการบริการ
พบว่าคุณสมบัติของดิจิตอลทำให้เราสามารถให้บริการได้โดยหลุดพ้นจากอุปสรรค์ที่เกี่ยวกับเงื่อนไขของเวลา
(Time) สถานที่ (Space) และผู้ให้บริการ (Actor) จุดเด่นนี้
ทำให้เราสร้างนวัตกรรมบริการได้หลากหลาย โดยตระหนักว่า การบริการประกอบด้วย 2
ส่วน คือบริการที่เน้นการใช้ข้อมูลและความรู้ (Information-intensive
service) และบริการที่เน้นการบริการด้วยคนและสิ่งของที่เป็นกายภาพ (People-intensive
service) และสรุปว่า บริการที่เน้นการใช้ข้อมูลและความรู้มีความสำคัญมาก
เพราะนวัตกรรมบริการสามารถสร้างขึ้นตามจินตนาการที่ไม่มีขอบเขต
แต่จำเป็นต้องรองรับด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
และเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็คือบริการคลาวด์คอมพิวติง (Cloud computing) และระบบจัดการกระบวนการ (Business Process Management) เมื่อนำเทคโนโลโลยีสองสิ่งนี้มารวมกัน เกิดเป็นระบบโครงสร้างพื้นฐาน เป็นแพลตฟอร์มใหม่สำหรับธุรกิจ
(New Business Platform) ที่รองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้
ทำให้ธุรกิจสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ
และปฏิรูปแนวทางธุรกิจใหม่ไปสู่การแข่งขันที่ยั่งยืนได้
เรากำลังอยู่ในหัวข้อการนำเสนอในเรื่องว่า
เราจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ซึ่งได้นำเสนอไปแล้ว 3 ข้อ ได้แก่การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้วยยุทธศาสตร์ทำให้ผู้บริโภคซื้อน้อยแต่ได้คุณค่ามาก
มีมาตรการร่วมมือกันเป็นเครือข่ายที่ร่วมสร้างคุณค่าได้
และให้ธุรกิจหันมาคำนึงถึงคุณค่าส่วนบุคคล (Customization and personalization)
สำหรับตอนใหม่นี้
จะให้ตัวอย่างที่เหลืออีก 2 ตัวอย่าง ได้แก่ 4) ปรัชญาหรือยุทธศาสตร์ และ 5)
แข่งขันด้วยนวัตกรรม
4.
ปรัชญาหรือยุทธศาสตร์
ยุทธศาสตร์ที่เน้นการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดนั้น
ถือว่าเป็นการแข่งขันที่ไม่ยั่งยืนอีกต่อไป
ในยุคใหม่จากนี้ไป จะเป็นการแข่งด้วยการสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภค และต้องให้ได้คุณค่าที่หลากหลาย ด้วยอิทธิพลจากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
หรือไอซีทีโดยย่อ นวัตกรรมสร้างคุณค่าที่หลากหลายจากบริการด้วยระบบไอซีทีทำได้ง่ายขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำ ไอซีทีช่วยให้การบริการหลุดพ้นจากข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ได้
ธุรกิจจึงสามารถคิดค้นวิธีการที่จะเกิดคุณค่าที่หลากหลาย การสร้างคุณค่าที่เข้มข้นเป็นการแข่งขันรูปแบบใหม่ที่มีความสำคัญมาก ตัวอย่างจากการบริการถอนเงินสดด้วยเครื่องเอทีเอ็ม
(Automatic
Teller Machine) พบว่า
ในยุคที่ธนาคารยังบริการถอนเงินโดยอาศัยคนนั่งอยู่ในเคาน์เตอร์นั้น
ด้วยข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา ผู้รับบริการได้รับบริการเฉพาะวันทำการ
ภายในเวลาที่ธนาคารกำหนด ณ สถานที่ทำการของธนาคาร
เมื่อเปลี่ยนให้บริการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่อาศัยเทคโนโลยีไอซีที
ผู้รับบริการถอนเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง และทุกที่ที่มีเครื่องเอทีเอ็ม
เกิดคุณค่าแก่ผู้ใช้บริการมหาศาล นอกจากนี้
ธนาคารยังเพิ่มบริการทั้งฝากเงินและโอนเงิน ทำให้บริการมีหลากหลายมากขึ้น
ไอซีทีช่วยให้ผู้บริการสร้างนวัตกรรมบริการในลักษณะที่ไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของสถานที่
เวลา และคนที่ให้บริการ ทำให้เกิดคุณค่าที่หลากหลายได้
นักธุรกิจยุคใหม่ต้องเรียนรู้ความสามารถของไอซีที
และความสำคัญของนวัตกรรมด้านบริการที่อยู่นอกข้อจำกัดของสถานที่ (Space)
เวลา (Time) และบุคคล (Actor) แล้วหามาตรการใช้ไอซีทีสร้างกระบวนการทางธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งแข่งขันเพื่อแย่งชิงตลาด
แต่สร้างตลาดใหม่ที่มีคุณค่าที่หลากหลายแก่ผู้บริโภค
Irene Ng (2013) ได้พูดถึงความสามารถของเทคโนโลยี
ที่เปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธุรกิจ
และสร้างตลาดใหม่ที่มีคุณค่ามากมายแก่ผู้บริโภคในด้านเกี่ยวกับธุรกิจทางดนตรีว่า
แต่เดิมธุรกิจด้านดนตรีเป็นธุรกิจของการผลิตจานเสียง เทปดนตรี และแผ่นซีดี (Compact
Disk) ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคต้องเดินทางไปเลือกหาซื้อตามร้านค้า
เป็นธุรกิจที่ดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดของสถานที่ เวลา และตัวบุคคล
การทำธุรกรรมภายใต้ข้อจำกัดทางกายภาพของตัวสินค้า
ลดคุณค่าที่ผู้บริโภคพึงได้หลายประการ
ประการแรก
ข้อจำกัดทางกายภาพเป็นเหตุให้เกิดช่วงห่างระหว่างเวลาที่ผู้บริโภคต้องการเพลง (Needs)
กับช่วงเวลาที่ได้เพลงมาเป็นกรรมสิทธิ์และได้ฟังเพลงที่ต้องการ
(มีคุณค่า) พูดกันง่าย ๆ เราเกิดความอยากฟังเพลงเพลงหนึ่ง
ณ เวลาหนึ่ง แต่ต้องเดินทางไปหาร้านค้าจำหน่ายแผ่นซีดี ใช้เวลาค้นหา
แล้วซื้อมาเป็นกรรมสิทธิ์
กว่าจะได้ฟังเพลงสมความต้องการต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ในบริบทเช่นที่กล่าวนี้ หลายคนอาจถอดใจหายอยาก
คือไม่ไปหาซื้อและยกเลิกความอยาก ทำให้ธุรกิจเสียรายได้โดยปริยาย ประการที่สอง
ข้อจำกัดทางกายภาพเป็นเหตุให้เพลงและดนตรีถูกจำกัดในด้านประโยชน์
กล่าวคือแผ่นซีดีนำไปใช้กับเครื่องเล่นในรถยนต์ หรือในห้องรับแขกที่บ้าน
ประโยชน์จึงถูกจำกัดเพียงภายในบริบทที่เรามีอารมณ์อยากฟังเพลง
ซึ่งเป็นเพียงบางโอกาสเท่านั้น แต่ถ้าเราแปลงเพลงเป็นรูปแบบดิจิตอล (Digitization)
อย่างเช่นทุกวันนี้
เราขยายการใช้ประโยชน์จากเพลงเดียวกันในบริบทอื่น ๆ อีกมาก เช่น
ฟังในขณะออกกำลังกายด้วยอุปกรณ์พกพา ฟังในขณะนั่งอยู่รถไฟฟ้า ฟังในขณะเดินช้อปปิ้ง
ประการที่สาม จำกัดการเข้าถึงเพลงที่หลากหลาย
ในยุคที่เพลงเป็นธุรกิจซื้อขายกรรมสิทธิ์กันนั้น
ผู้บริโภคต้องถือครองเป็นกรรมสิทธิ์จึงมีโอกาสได้ฟังเพลง
เป็นการจำกัดการเข้าถึงเพลงที่มีคุณค่าอื่นมากมาย
ในยุคสารสนเทศ เพลงส่วนใหญ่ถูกแปลงเป็นรูปแบบดิจิตอล ผู้บริโภคเลือกข้อเสนอจากผู้ประกอบการผ่านอินเทอร์เน็ตได้หลากหลายมาก
ทั้งที่ต้องเสียเงิน และที่ให้บริการฟรี
ความสามารถของไอซีทีที่ช่วยแปลงสินค้า และข้อมูลให้เป็นรูปแบบดิจิตอล สร้างโอกาสมหาศาลที่จะทำเป็นข้อเสนอที่มีคุณค่าแก่ผู้บริโภคได้
สุดแล้วแต่จะจินตนา
ความสามารถที่จะนำจินตนาการไปสู่ข้อเสนอที่มีคุณค่าคือความท้าทายของนักธุรกิจยุคใหม่
จนนักคิดยุคใหม่หลายท่านได้แนะนำให้นักธุรกิจเปลี่ยนความคิดจากการเน้นสร้างยุทธศาสตร์
(Strategy)
มาสร้างปรัชญา (Philosophy) แทน Umair Haque (2011) ได้อธิบายความแตกต่างของยุทธศาสตร์และปรัชญาว่า
ยุทธศาสตร์ให้ความสำคัญกับการทำให้ผู้บริโภคซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ยุทธศาสตร์เตรียมพร้อมที่จะทำสงครามแย่งชิงตลาด
เป็นแนวคิดที่ต้องการดูดคุณค่าจากลูกค้า ฝ่ายตรงข้าม และสังคม
ในขณะที่ปรัชญาให้ความสำคัญกับการมุ่งมั่นที่จะสร้างสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เป็นการคิดนอกกรอบที่มุ่งมั่นในการสร้างประโยชน์ร่วมกัน
และถือคุณค่าของผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นศูนย์กลาง ธุรกิจที่มีปรัชญา
จะตั้งเป้าหมายในสิ่งท้าทายที่ทำได้ยาก เป็นวิธีบังคับตัวเองให้สร้างสรรค์ในสิ่งใหม่
ๆ ที่ผู้อื่นทำตามได้ยาก แนวคิดเช่นนี้จะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาได้
บริษัท Google เป็นตัวอย่างที่ดี
ที่ได้กำหนดปรัชญาขององค์กรอย่างชัดเจน
และเป็นเหตุผลที่นักเศรษฐศาสตร์ และนักคิดคนสำคัญ ๆ สรุปว่า
เป็นที่มาของความสำเร็จของบริษัทนี้
ปรัชญาของ Google ข้อหนึ่งบอกว่า “---เราจะมุ่งเน้นจัดหาสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า
เราให้ความสำคัญในการบริการลูกค้า มากกว่าบริการตัวเอง
หรือเพื่อผลตอบแทนของพวกเราเอง” ปรัชญาของ Google ที่น่าสนใจอีกข้อคือ “เราหาเงินได้โดยไม่ต้องทำสิ่งชั่วร้าย” หลายคนอาจคิดว่าบริษัทแบบ
Google
มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก และไกลตัวเกินไป แต่การคิดนอกกรอบที่นำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ๆ และให้ความสำคัญกับการแข่งขันแบบเดิม ๆ น้อยลงนั้น
กำลังเกิดขึ้นในภาคธุรกิจทุกระดับและทุกชนิด และมากขึ้นทุกวัน แม้ในประเทศไทยเอง
ก็เริ่มมีธุรกิจที่คิดนอกกรอบ และกำหนดกลยุทธ์ในเชิงปรัชญาที่ใกล้เคียงกับแนวคิดที่กล่าวมา
ตัวอย่างเช่นโครงการของ Builk.com บริษัท
Builk
Asia เจ้าของ Builk.com เลิกแข่งขันกับบริษัทซอฟต์แวร์อื่นเพื่อแย่งชิงตลาดซอฟต์แวร์ด้านบริการธุรกิจก่อสร้างและค้าวัสดุก่อสร้าง Builk Asia หันมาเอาดีในการสร้างคุณค่าให้ผู้ที่อยู่ในวงการก่อสร้าง
ตั้งแต่ผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้ขายวัสดุก่อสร้าง สถาปนิก วิศวกร
รวมถึงเจ้าของโครงการ เจ้าของบ้าน ด้วยรูปแบบธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร Builk Asia ลงทุนพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ให้ใช้ฟรีผ่านอินเทอร์เน็ต
เน้นที่การออกแบบให้ใช้งานง่ายและประหยัดเวลา ลดขั้นตอนต่างๆ
ให้เหลือสั้นที่สุดเพื่อการทำงานที่คล่องตัว รวมฟังก์ชั่นอื่น ๆ
ที่ตอบสนองหลักการปฏิบัติงานที่ดี (Best Practice) ของการบริหารงานก่อสร้าง
การบริการด้วยซอฟต์แวร์ที่ใช้ง่าย มีประโยชน์ มีคุณค่าที่จับต้องได้
และบริการฟรี เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ
Builk
Asia พยายามพัฒนาเพิ่มคุณค่าให้แก่ผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น
ตั้งแต่ให้บริการประชาสัมพันธ์ จนถึงแสดงผลงานของตนเอง ผ่านเครือข่ายนี้ เมื่อยิ่งมีผู้ใช้ระบบซอฟต์แวร์มาก
การประชาสัมพันธ์และแสดงผลงานของตนเองยิ่งมีคุณค่ามากขึ้น นอกจากนี้ Builk Asia ยังได้สร้างระบบ Social Network บริการผู้ที่มีส่วนได้เสียในกิจการก่อสร้าง เชื่อมโยงกัน
เป็นสังคมแห่งใหม่ที่ยกระดับวงการก่อสร้างสู่โลกออนไลน์อย่างเต็มตัว เมื่อสังคมนี้โตขึ้น คุณค่าของระบบบริการ (Service
System) ชุดนี้ก็จะย้อนกลับมาหา Builk
Asia เอง กล่าวคือ ผู้ค้าวัสดุก่อสร้าง
และธุรกิจอื่นที่ต้องการทำธุรกิจกับสมาชิกของเครือข่ายก่อสร้างชุดนี้
เริ่มจะยอมเสียค่าใช้จ่ายเพื่อประชาสัมพันธ์ และโฆษณาสินค้า
กลายเป็นกระแสรายได้ที่จะเติบโตขึ้นตามขนาดของสังคมที่จะเติบโตตามการใช้งานของกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก่อสร้างชุดนี้ ผู้บริหารของบริษัท Builk
Asia เลิกคิดที่จะสร้างยุทธศาสตร์เพื่อแย่งชิงตลาดซอฟต์แวร์ในส่วนบริการธุรกิจก่อสร้าง
แต่ได้กำหนดปรัชญาที่เน้นสร้างประโยชน์และคุณค่าให้แก่ผู้ที่อยู่ในวงการก่อสร้าง แนวคิดของ Builk Asia ถือได้ว่าเป็นการคิดนอกกรอบ (Disruptive)
ที่นำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ที่มีคุณค่าให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบริษัทเอง
ภายใต้การสนับสนุนของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ในตอนที่ 5 จะเสนอตัวอย่างเกี่ยวกับแนวคิดการสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภค
ในหัวข้อ “แข่งขันด้วยนวัตกรรม” ครับ
No comments:
Post a Comment