ในตอนที่ 2 ได้พูดถึงการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่
21 โดยได้นำแนวคิดของ
Umair Haque นักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญ มาเรียบเรียงได้ประเด็นว่า
ธุรกิจในศตวรรษที่ 21 จะไม่เหมือนกับศตวรรษที่ผ่านมา
เนื่องจากความสามารถที่นักอุตสาหกรรมทำ Mass production ทำให้เกิดการบริโภคเกินความจำเป็นทั่วโลก
เป็นการสูญเสียทรัพยากรอย่างมาก ในศตวรรษใหม่นี้ มนุษย์จะเข้าสู่ยุคประหยัด
และคำนึงถึงคุณค่าที่แท้จริงของการบริโภค
ในตอนที่ 3 นี้จะขยายความคิดของ Umair Haque โดยใช้ตัวอย่าง ภายใต้หัวข้อ 1) ซื้อน้อยแต่ได้คุณค่ามาก 2)
เครือข่ายที่ร่วมสร้างคุณค่า 3) คำนึงถึงคุณค่าส่วนบุคคล 4) ปรัชญาหรือยุทธศาสตร์
และ 5) แข่งขันด้วยนวัตกรรม
1.
ซื้อน้อยแต่ได้คุณค่ามาก
ในศตวรรษนี้ นักธุรกิจจำเป็นต้องเปลี่ยนตรรกะของธุรกิจ (Business logic) จากผลิตสินค้าจำนวนมาก ๆ มาเน้นการสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภคมาก
ๆ ตัวอย่างเช่น หนังสือที่พิมพ์ขายเป็นเล่ม
เป็นสินค้ากายภาพชนิดหนึ่ง ผู้พิมพ์จัดทำเป็นเล่มและจำหน่ายผ่านร้านขายหนังสือ
หรือผ่านระบบขายออนไลน์ เราต้องซื้อทั้งเล่มถึงแม้ต้องการเนื้อหาสาระเพียงบางบท
แต่ถูกบังคับให้ต้องซื้อทั้งเล่ม เมื่อซื้อเป็นกรรมสิทธิ์
หนังสือส่วนหนึ่งก็จะไม่มีคุณค่า เป็นความสิ้นเปลืองทั้งแก่ผู้บริโภคและสังคม ในบางครั้ง
ผู้บริโภคอาจไม่มีโอกาสได้ศึกษาและพิจารณาละเอียดเพียงพอก่อนจะตัดสินใจซื้อ
มาผิดหวังภายหลังจากได้หนังสือมาเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว เพราะพบว่า
เนื้อหาสาระของหนังสือโดยรวมไม่ตรงตามความต้องการ สิ่งที่ผู้ซื้อได้มาคือความเป็นกรรมสิทธิ์
แต่หามีคุณค่าไม่
นักธุรกิจที่มีแนวคิดจะเปลี่ยนกลยุทธ์ในเชิงสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภค
ต้องยอมเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจใหม่ สนับสนุนให้ผู้บริโภคซื้อน้อย
หรือซื้อตามความจำเป็น ไม่ยัดเหยียดให้ซื้อในสิ่งที่ไม่มีคุณค่า รูปแบบหนึ่งที่เริ่มมีผู้ใช้กัน
คืออาศัยไอซีที สร้างระบบบริการ (Service System) อำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคเลือกซื้อเฉพาะบทที่ตนสนใจ
โดยระบบบริการถูกออกแบบให้เป็นระบบบริการผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นระบบเว็บ (Web)
ในกรณีของขายหนังสือ ระบบบริการจะถูกออกแบบให้สามารถบริการในสิ่งต่อไปนี้
· นำเสนอใจความสำคัญของแต่ละบท
· ใช้คุณสมบัติของสื่อสังคม (Social Network) เป็นเวทีให้ผู้ที่สนใจตั้งประเด็นข้อสังเกตเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกัน
เพื่อให้ผู้บริโภคที่สนใจจะซื้อหนังสือมีโอกาสปรึกษาหารือระหว่างกันเป็นรายบทได้
· บริการสั่งซื้อเป็นรายบทได้ ในราคาที่ยุติธรรม
· มีระบบชำระเงินที่สะดวก
· มีระบบให้เลือกดาวโหลด (Download) หนังสือเฉพาะบทได้ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่อ่านผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รูปแบบต่าง
ๆ ได้
การปรับเปลี่ยนความคิดของธุรกิจที่เน้นคุณค่าและประโยชน์ของผู้บริโภค
ทำให้ผู้บริโภคซื้อน้อยลง คือซื้อตามความจำเป็น เพื่อคุณค่าที่แท้จริง
แต่ผู้จำหน่ายหรือธุรกิจก็ไม่ได้เสียผลประโยชน์ ถึงแม้รายได้จากลูกค้ารายตัวจะลดลงบ้าง
แต่กลยุทธ์ที่เน้นการสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภคจะช่วยขยายฐานลูกค้าให้ใหญ่ขึ้น เป็นเหตุให้รายได้โดยรวมนั้นสูงขึ้นกว่าธุรกิจรูปแบบเดิมได้
ที่สำคัญกว่านี้ การเน้นสร้างคุณค่าและช่วยผู้บริโภคประหยัด
จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืน
เปิดโอกาสให้ทำธุรกิจได้ยาวนาน ตรรกะทางธุรกิจใหม่ที่เน้นให้ผู้บริโภคซื้อน้อย แต่ได้คุณค่ามากกว่า
โดยผู้ประกอบการได้ประโยชน์ด้วยนั้น ต้องอาศัยหลักคิดที่เกี่ยวกับการสร้างคุณค่า (Value
Creation) ดังนี้
· ผู้ประกอบการ (ตามตัวอย่าง คือผู้ผลิตหนังสือและจัดจำหน่าย)
ต้องสามารถสร้างข้อเสนอที่มีคุณค่า (Value proposition) เสนอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้หลากหลายอย่าง เช่น
จัดเสนอขายสิทธิการอ่านเป็นบทผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ จัดให้ผู้บริโภคแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทำให้เกิดอุปสงค์อย่างต่อเนื่อง
จัดให้มีระบบชำระเงินที่สะดวก
หรือแม้กระทั่งแนวคิดที่เสนอให้ผู้บริโภคซื้อหนังสือที่ตีพิมพ์เป็นเล่มได้ด้วยส่วนลดพิเศษ
ภายหลังจากได้ซื้อเป็นรายบทเกินกว่าครึ่งหนึ่งของหนังสือเล่มนั้น ๆ
· ผู้ประกอบการต้องจัดสร้างระบบบริการ (Service
System) เพื่อเป็นเวทีสำหรับติดต่อทำกิจการและธุรกิจแบบปฏิสัมพันธ์กัน
(Interactive)
ระหว่างเจ้าหน้าที่ของผู้ประกอบการ ผู้บริโภค
และผู้ที่สนใจอื่น ๆ
เป็นเวทีที่เกิดคุณค่า (Value creation) หรือส่งมอบคุณค่า (Value delivery)ให้แก่ผู้บริโภคได้
· ผู้ประกอบการต้องสร้างบรรยากาศที่ชักชวนให้ผู้บริโภคและผู้ที่สนใจอื่น
ๆ มาร่วมกันเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาของหนังสือเล่มนั้น
เป็นการมีส่วนร่วมที่จะก่อเกิดประโยชน์ให้กับคนทุกคน
ผู้ประกอบการอาจได้ความรู้และความคิดใหม่ ๆ นำไปปรับปรุงและพัฒนาหนังสือให้มีเนื้อหาสาระดีขึ้น
ประชาชนที่มีส่วนร่วมอาจได้แนวคิดและความรู้ไปใช้ประโยชน์ตามบริบทของตนเอง
และจูงใจให้เกิดการซื้อหนังสือเป็นบทหรือเป็นเล่มได้ เป็นกิจกรรมร่วมกัน (Collaboration)
ที่เรียกว่า Co-production
· ผู้ประกอบการต้องคิดหาวิธีที่จะออกแบบกระบวนการสร้างคุณค่า
(Value
creation process) ที่ผู้บริโภคจะนำข้อเสนอของผู้ประกอบการตามข้อ
1 ข้างต้น ไปสร้างคุณค่าตามเจตนารมณ์ของตนเองได้
ในกรณีตัวอย่าง
ผู้บริโภคสามารถอ่านบทสรุปของแต่ละบทที่ผู้ประกอบการจัดนำเสนอบทเว็บไซท์ (Website)
หรือผู้บริโภคอาจตั้งกระทู้ถามผ่านโฟรั่ม (Forum)
ที่จัดให้ เพื่อได้ความรู้ความเข้าใจก่อนตัดสินใจสั่งซื้อ
ตลอดจนกระบวนการดาวโหลดและชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ผู้บริโภคต้องช่วยตัวเองที่จะทำให้เกิดคุณค่าได้
เรียกกระบวนการนี้ว่า เป็นการร่วมสร้างคุณค่า (Value co-creation) เป็นคุณค่าที่เกิดขึ้นจากการทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
จนเป็นผลให้เกิดคุณค่าขึ้นได้
2.
เครือข่ายที่ร่วมสร้างคุณค่า
(Value
Network)
อุตสาหกรรมยุคก่อน ทำธุรกิจบนแนวคิดการผลิตสินค้าจำนวนมาก
เพื่อเกิดความได้เปรียบจากขนาด (Economies of scale) ผู้จัดจำหน่ายจึงมีบทบาทมากภายในห่วงโซ่คุณค่า
แต่ในบริบทของการสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภคในยุคใหม่นี้
ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความสามารถในการขายสินค้า
แต่อยู่ที่การบริการให้ลูกค้าสร้างคุณค่าในบริบทต่าง ๆ ได้ ซึ่งต้องอาศัยทักษะการทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย
ผู้ที่เกี่ยวข้องภายในห่วงโซ่คุณค่า จึงมีทั้งผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้บริโภค
ที่พร้อมจะทำงานร่วมกัน
โดยเฉพาะตัวผู้บริโภคเองมีโอกาสที่จะเป็นผู้ร่วมผลิต (Co-producer)
และผู้ร่วมสร้างคุณค่า (Value co-creator) ได้ในขณะเดียวกัน
Richard Normann และ Rafael Ramirez (1998) ได้ยกตัวอย่างของบริษัทจำหน่ายเครื่องเรือนของประเทศสวีเดนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ใช้แนวคิดใหม่ของเครือข่ายสร้างคุณค่า (Value network) จนประสบความสำเร็จอย่างมาก ตอนหนึ่งมีใจความว่า
บริษัทนี้เป็นเจ้าของความคิดเกี่ยวกับการปรับรูปแบบ (Reconfigure)
ห่วงโซ่คุณค่ารูปแบบใหม่ของธุรกิจเครื่องเรือน ด้วยการนำทรัพยากรของผู้ที่เกี่ยวข้อง
ตั้งแต่โรงงานทำชิ้นส่วน จนถึงลูกค้า มาเป็นประโยชน์เพื่อการสร้างคุณค่า
ในลักษณะทำงานร่วมกัน (Co-production) ในยุคแรก ๆ บริษัทนี้ทำแม้กระทั่งชวนเจ้าของรถขนส่งนมที่วิ่งรถเปล่าตอนกลับโรงงานมาใช้ประโยชน์
เพื่อขนส่งชิ้นส่วนเครื่องเรือนจากโรงงานไปยังคลังสินค้า
และส่งเครื่องเรือนไปให้ลูกค้าด้วย บริษัทนี้ในฐานะจัดจำหน่ายเครื่องเรือนจะทำหน้าที่หลักเกี่ยวกับการออกแบบ
แล้วจัดหาโรงงานผลิตชิ้นส่วน และเชิญชวนให้ผู้บริโภคทำหน้าเป็นผู้ประกอบเครื่องเรือน
เพื่อให้เกิดคุณค่าให้ตนเอง (Value co-creation) กลายเป็นเครือข่ายสร้างคุณค่า (Value
Network) ที่ทำให้บริษัทนี้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจเครื่องเรือนในปัจจุบัน
ด้วยแนวคิดที่อาศัยลูกค้าและซัพพลายเออร์ (Supplier) เป็นผู้ร่วมกระบวนการผลิต (Co-production
processes) ในหลาย ๆ ด้าน
นำไปสู่การลดต้นทุนแต่ไม่ลดคุณภาพ
บริษัทจะไม่อาศัยพ่อค้าคนกลาง หรือทำผ่านตัวแทน
แต่พยายามจะปรับความสัมพันธ์ (Configure relationship) กับ ลูกค้าและซัพพลายเออร์เพื่อร่วมทำธุรกิจที่ยั่งยืน
การเชิญชวนให้ลูกค้าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิต
ด้วยการขนส่งสินค้าและประกอบเครื่องเฟอร์นิเจอร์ด้วยตนเอง เป็นวิธีลดต้นทุนส่วนหนึ่ง
ในขณะที่เพิ่มความพอใจให้ลูกค้าได้ด้วย เพื่อให้เกิดการร่วมผลิตที่มีประสิทธิภาพ
บริษัทต้องออกแบบเครื่องเฟอร์นิเจอร์ให้ประกอบได้ง่าย มีเครื่องมือ
และคู่มือแนะนำวิธีประกอบที่เข้าใจง่าย
บริษัทได้คิดค้นวิธีออกแบบเครื่องเรือนเป็นชิ้นส่วนที่บรรจุในหีบห่อที่เคลื่อนย้ายได้ง่ายด้วยลูกค้าเอง
บริษัทเรียกเทคนิคนี้ว่า “Flat-packaging” เช่นออกแบบให้แยกขาโต๊ะออกจากตัวโต๊ะ
และบรรจุรวมกันเป็นหีบห่อในทางระนาบเพื่อขนส่งด้วยตัวเองได้ง่าย
ในกรณีของซัพพลายเออร์นั้น บริษัทมีนโยบายไม่เพียงซื้อชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์
แต่ยังเลือกซัพพลายเออร์จำนวนหนึ่งจากพัน ๆ รายทั่วโลก เพื่อร่วมทำงานแบบพันธมิตร
โดยบริษัทจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์กลุ่มนี้ เพื่อพัฒนาออกแบบ
และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีคุณภาพดียิ่ง ๆ ขึ้น นอกจากนี้
ยังสนับสนุนให้ซัพพลายเออร์ซื้ออุปกรณ์ หรือชิ้นส่วนที่เป็นมาตรฐานจากบริษัท
และจากระหว่างซัพพลายเออร์ด้วยกัน
เพื่อได้ประโยชน์จากการจัดการการผลิตได้อย่างใกล้ชิดและประหยัด ในขณะเดียวกัน
บริษัทยังได้เรียนรู้จากซัพพลายเออร์ของแต่ละประเทศ
ด้านรสนิยมของผู้บริโภคในประเทศนั้น ๆ
เพื่อเป็นข้อมูลไปปรับปรุงสินค้าและบริการให้ถูกรสนิยมของผู้บริโภคของแต่ละประเทศ
เป็นการเพิ่มคุณค่าให้แก่ผู้บริโภคได้ จากมุมมองนี้
กระบวนสร้างคุณค่าภายในห่วงโซ่คุณค่านั้น
ไม่มีลักษะเชิงเส้น (Linear) จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำอีกต่อไป
แต่ละจุดภายในห่วงโซ่มีโอกาสเป็นได้ทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ
โดยเฉพาะตัวผู้บริโภคเองมีโอกาสที่จะเป็นผู้ร่วมผลิต (Co-producer)
และผู้ร่วมสร้างคุณค่า (Value co-creator) ได้ในขณะเดียวกัน ห่วงโซ่คุณค่าจึงมีลักษณะเป็นเครือข่าย Normann
และ Ramirez เรียกรูปแบบใหม่ของความร่วมมือกันลักษณะนี้ว่า “Value
Constellation” เป็นลักษณะความสัมพันธ์ของธุรกิจ
พันธมิตร และลูกค้าที่ต่างมีบทบาททั้งในฐานะผู้บริการ และผู้รับบริการ
เพื่อร่วมกันสร้างคุณค่าให้แก่กันและกัน โดยต่างคนต่างใช้ทรัพยากรของตน
ทำงานร่วมกันมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน
ทำให้เกิดคุณค่าในขณะที่ใช้ทรัพยากรได้อย่างประหยัด การปรับเปลี่ยนทางความคิดของธุรกิจที่เน้นคุณค่าและประโยชน์ของผู้บริโภค
จำเป็นต้องมีทักษะในด้านทำงานร่วมกับผู้อื่น
และสามารถปรับรูปแบบของระบบห่วงโซ่คุณค่าให้มีกระบวนการทำงานระหว่างกลุ่มพันธมิตรและลูกค้าในรูปของเครือข่าย
3.
คำนึงถึงคุณค่าส่วนบุคคล
นับจากนี้ไป ผู้บริโภคจะซื้อของน้อยลง และให้ความสำคัญกับการซื้อที่มีคุณค่ามากขึ้น
ของสิ่งเดียวกันอาจมีคุณค่าต่างกันได้ในมุมมองของลูกค้าสองคน
ยุทธศาสตร์ที่เน้นสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภคจึงเป็นยุทธศาสตร์ของการสร้างความหลากหลาย
(Variety)
เป็นการผลิตสินค้าและบริการที่ต้องคำนึงถึงคุณค่าส่วนบุคคล
(Personal
value) ธุรกิจจำเป็นต้องปรับแนวคิดใหม่
จากยุทธศาสตร์ประหยัดจากขนาดของการผลิต (Economies of scales) มาเป็นการประหยัดจากการขยายขอบเขตหรือเพิ่มความหลากหลาย (Economies
of scope) ตามความคิดของคนในยุคใหม่ ยุทธศาสตร์ผลิตจำนวนมาก ๆ
เพื่อให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกลงเป็นสาเหตุของการบริโภคเกินความจำเป็น ทำให้สิ้นเปลือง
และเป็นผลเสียต่อส่วนรวม ในขณะที่ยุทธศาสตร์ผลิตให้น้อย แต่ให้คุณค่าที่หลากหลายนั้น
เป็นยุทธศาสตร์ที่มีแต่ผู้ได้ไม่มีผู้เสีย การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพจำนวนมาก ๆ
เป็นเรื่องของทักษะด้านการผลิต เป็นเรื่องของประสิทธิภาพและประสิทธิผล
แต่ความสามารถที่บริการเพื่อสร้างคุณค่าที่หลากหลายนั้น เป็นเรื่องทักษะทางนวัตกรรม
(Innovation)
Zara เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะใช้อธิบายแนวคิดดังกล่าว Zara
เป็นธุรกิจจำหน่ายเสื้อผ้าสำหรับสตรี สุภาพบุรุษ และเด็ก
ชั้นนำของโลก วิกีพีเดียให้ข้อมูลว่า Zara
เป็นธุรกิจของสเปน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1975 เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจแฟชั่น Inditex
แทนที่จะเน้นการจ้างผลิตเสื้อผ้าชั้นนำระดับโลกจำนวนมากจากประเทศกำลังพัฒนาด้วยต้นทุนต่ำเหมือนธุรกิจเสื้อผ้าทั่วไป
Zara
กลับเน้นการแข่งขันด้วยนวัตกรรมในหลาย ๆ ด้านดังนี้
· Zara
จะออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมวางจำหน่ายตามร้านภายในทุก ๆ
สองสัปดาห์ เป็นผลิตภัณฑ์แฟชั่นราคาไม่แพง ในแต่ละปี Zara
สามารถนำผลิตภัณฑ์ใหม่เสนอต่อผู้บริโภคประมาณ 10,000 ชิ้น ในขณะที่คู่แข่งที่มีธุรกิจใกล้เคียงกันนำผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดเฉลี่ยเพียง
2000-4000 รายการต่อปี Zara
ให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์การประหยัดจากความหลากหลาย (Economies
of scope) อย่างแท้จริง
· Zara
ให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภค
ด้วยผลิตภัณฑ์แฟชั่นในความนิยมด้วยวิธีการไม่เหมือนใคร ผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่าย
ถ้าไม่มีผู้ซื้อเลยภายในหนึ่งสัปดาห์จะถูกถอนออกจากร้าน และทดแทนด้วยสินค้าใหม่
ด้วยวิธีการนี้ ลูกค้าจะได้สัมผัสกับสินค้าตามแฟชั่นใหม่อยู่ตลอดเวลา
สำหรับสินค้ายอดนิยมจะวางขายนานประมาณ 4 สัปดาห์ เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสซื้อซ้ำได้ โดยเฉลี่ยลูกค้าจะกลับมาซื้อใหม่ประมาณ
17 ครั้งต่อปี ในขณะที่คู่แข่งเพียงประมาณ 3 ครั้งต่อปี
ธุรกิจที่มีความสามารถในด้านนวัตกรรมสูงจึงจะให้บริการลูกค้าในลักษณะนี้ได้
· นอกจากให้ความสำคัญในนวัตกรรมเกี่ยวกับการออกแบบสินค้าและการจัดการวางจำหน่ายแล้ว
Zara
ยังให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมด้านกระบวนการให้บริการลูกค้าด้วย
นอกจากวางจำหน่ายสินค้าในร้าน Zara กว่า 2,000 แห่งทั่วโลก Zara ยังเปิดขายผ่านออนไลน์
ด้วยระบบออนไลน์ที่ให้ความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าและชำระเงิน
โดยลูกค้าเลือกรับสินค้าจากร้านใกล้เคียง หรือจัดส่งผ่านบริการพัสดุได้
รูปแบบธุรกิจของ Zara เป็นตัวอย่างของการให้บริการผู้บริโภคด้วยสินค้าหลากหลาย มีให้เลือกมาก แต่ด้วยราคาที่สมเหตุผล
แทนที่จะเน้นผลิตสินค้าจำนวนมาก ๆ เพื่อแข่งขันที่ราคาเพียงอย่างเดียว Zara ให้ความสำคัญที่คุณค่าของผู้บริโภคในทุก ๆ ด้าน การออกสินค้าใหม่ ๆ ที่หลากหลาย และบ่อยครั้ง
มีเครือข่ายที่ให้เลือกซื้อสินค้าได้สะดวก ทั้งห้างร้านตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลก
และผ่านระบบออนไลน์ ทำให้ Zara สามารถตอบสนองความต้องการส่วนตัวของผู้บริโภค
และเป็นคุณค่าที่เกิดขึ้นตามบริบท (Value in-context ) ของลูกค้าด้วย
ตอนต่อไป จะขยายความคิดของ Umair Haque โดยใช้ตัวอย่าง ในหัวข้อที่เหลือ 2 หัวข้อได้แก่ 4) ปรัชญาหรือยุทธศาสตร์ และ 5) แข่งขันด้วยนวัตกรรม
No comments:
Post a Comment