ในตอนที่ 1 ได้พูดถึงความหมายและหลักการของนวัตกรรมบริการ
และต้องการใช้นวัตกรรมบริการด้านการศึกษาเป็นตัวอย่าง
แต่ก่อนอื่นขอปูพื้นฐานประเด็นปัญหาเกี่ยวกับด้านการศึกษาที่ต้องการแก้ด้วยนวัตกรรมบริการให้เข้าใจเสียก่อนในตอนที่
2 นี้ ในตอนต่อไปจึงจะเข้าถึงเรื่อง How to
ICT-based
Service Pedagogical Practices กับการศึกษายุคใหม่
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการศึกษาเผยว่า
ในปัจจุบันคนไทยใช้เครื่องโทรศัพท์มือถือสูงถึง 110% ของประชากร คือประมาณ 80 ล้านเครื่อง
และในจำนวนนี้ ร้อยละ 60 เป็นเครื่องแบบสมาร์ทโฟนที่ทำงานกับอินเทอร์เน็ตได้ ประธานกรรมการบริษัท Google, Eric Schmidt กล่าวในหนังสือเรื่อง
“The New Digital Age” ว่า ในปี 2013 ประชากรโลกกว่า
2 พันล้านคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ในขณะที่จำนวนเครื่องโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานสูงถึงกว่า
6 พันล้านเครื่อง ถ้าอัตราขยายตัวของการใช้ระบบสื่อสารไร้สายดำเนินต่อในอัตราสูงเช่นปัจจุบัน
ส่วนใหญ่ของประชากรโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 8 พันล้านคนในปี
2025 จะเชื่อมโยงกันได้แบบออนไลน์ทั้งหมด คงไม่ยากที่จะเห็นว่าเยาวชนที่จะเรียนจบและพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงเวลานั้นคงไม่ใช้วิธีหางานที่ผ่านการสมัครและสัมภาษณ์ตามขั้นตอนที่เราใช้กันในทุกวันนี้
ความต้องการตลาดแรงงานในวันข้างหน้าคงจะอาศัยทักษะและสมรรถนะแบบใหม่ที่เน้นนวัตกรรมและความสามารถสร้างคุณค่าและตอบโจทย์จริงของลูกค้าได้
ความสามารถเชื่อมต่อกันในหมู่คนจำนวนมากด้วยระบบสื่อสารไร้สายกำลังเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราเคยคุ้นเคยกัน
ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่ถึง 20 ปี เรามีโอกาสเห็นการเปลี่ยนแปลงการสื่อสารครั้งใหญ่
จากระบบโทรศัพท์ มาเป็นระบบอินเทอร์เน็ตและอีเมล์ และในทุกวันนี้
เป็นระบบเครือข่ายสังคม (Social network) คงไม่มีใครกล้าโต้แย้งว่า
จากนี้ไปเทคโนโลยี ความรู้และสารสนเทศจะพัฒนารวดเร็วยิ่งขึ้น
และเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจใหม่
การศึกษาที่มีภาวะต่อเนื่อง
(Educational Continuum) และการศึกษาแบบองค์รวม
(Holistic Education)
การศึกษาที่มีภาวะต่อเนื่อง
(Educational Continuum) ถือได้ว่าเป็นกระบวนการเรียนการสอน
(Process
หรือ Pedagogy) ที่จะทำให้เกิดการเรียนต่อเนื่องตลอดชีวิต ทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียน
การเรียนที่มีภาวะต่อเนื่องนอกจากจากเรียนเพื่อความรู้
ยังต้องเรียนเพื่อสร้างทักษะประเภท Soft
skill ด้วย เช่นเรื่องเกี่ยวกับทักษะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคน
ความสามารถวิเคราะห์และเข้าใจเหตุและผล ความสามารถในการสื่อสาร
ที่สำคัญความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และทักษะในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การศึกษาที่มีภาวะต่อเนื่องมีคุณลักษณะในเชิงการเรียนรู้
5 ประการดังนี้
1)
อาศัยไอซีทีเพื่อการเรียนการสอน
ผู้เรียนทุกวันนี้มีอุปกรณ์ไอทีอยู่รอบตัว
ทั้งเครื่องโทรศัพท์มือถือและเครื่องแท็บเล็ต
รวมทั้งอยู่ภายในสภาวะที่แวดล้อมด้วยระบบสื่อสารไร้สายและมีสายที่พร้อมเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ตลอด
24 ชั่วโมง การเรียนการสอนจึงอาศัยไอซีทีเป็นพื้นฐาน
2)
การเรียนเน้นให้ได้คุณค่า
(Value) แก่ผู้เรียน คือเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student Centrality) เป็นเรื่องการเรียนการสอนที่เป็น
Personalized learning หรือออกแบบการเรียนการสอนด้วยกระบวนการที่เป็น Personalization in
Pedagogy จะเรียกอะไรก็แล้วแต่
แนวการสอนใหม่จะต้องออกแบบให้ตรงตามความต้องการและเหมาะกับสถานภาพของผู้เรียน
อาจใช้ควบคู่กับ Reflective learning ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบพินิจพิเคราะห์
จากการสะท้อนการเรียนรู้ หรือจากผลการสังเกตการณ์การเรียนของผู้เรียนแต่ละคนในแต่ช่วงเวลา
ทำให้ผู้สอนสามารถปรับปรุงแผนการสอนให้เหมาะสมตามรายบุคคลได้
3)
เน้นให้ได้ผลทั้งความรู้และทักษะและสมรรถนะ
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า
เยาวชนที่จะเข้าตลาดแรงงานในวันข้างหน้าที่ไม่ห่างไกลมาก จะใช้องค์ความรู้เพื่อการแข่งขันในเวทีโลกเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป
จำเป็นต้องมีสมรรถนะและ Soft skills อีกหลาย ๆ ด้าน ดังนั้นการออกแบบกระบวนการเรียนการสอนจะต้องเน้นภาคปฏิบัติมากขึ้น
การสอนหน้าชั้นเรียนแบบเดิมจะไม่สามารถพัฒนาคนให้มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาดได้
บัณฑิตรุ่นใหม่จะต้องจบมาพร้อมทำงาน นายจ้างจะไม่ยอมเสียเวลาและเสียงบประมาณเพื่อฝึกบัณฑิตจบใหม่อีกต่อไป
การแข่งขันจากนี้ไปรวดเร็วและรุนแรงกว่าที่จะเสียเวลาฝึกบัณฑิตจบใหม่
เพราะเป็นการเสียโอกาสที่รับไม่ได้อีกต่อไป
4)
เรียนจากทรัพยากรความรู้ที่บูรณาการจากทั่วโลก
การเรียนการสอนที่จะตอบโจทย์การศึกษาที่เป็นภาวะต่อเนื่องนั้น
ไม่สามารถทำได้ด้วยสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งแห่งใดโดยลำพัง เพราะไม่มีทรัพยากรเพียงพอ
จำเป็นต้องร่วมกันทำงานเป็นเครือข่ายในลักษณะ Co-production
ระหว่างสถาบันและระหว่างอาจารย์ที่มีความรู้ ตัวอย่างที่ดี คือการบริการของ Coursera.org และ edX.org
5)
เป็นการศึกษาเพื่อตอบโจทย์ของเศรษฐกิจยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลง
โลกที่เชื่อมโยงกันเป็นสังคมเดียวกันดังที่กล่าวข้างต้น
ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ผู้บริโภคนับวันจะเรียกร้องบริการจากผู้ให้บริการมากขึ้น ธุรกิจส่วนหนึ่งเริ่มให้ความสำคัญกับการแข่งขันแนวใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในเชิงให้คุณค่าที่แท้จริงได้
เทคโนโลยีไอซีทีทำให้ธุรกิจสามารถสร้างนวัตกรรมบริการรูปแบบใหม่ ๆ
เป็นการสร้างศักยภาพการแข่งขันด้วยบริการที่ช่วยสร้างคุณค่าให้ลูกค้าที่คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยาก
นักการศึกษาต้องให้ความสำคัญกับการออกแบบหลักสูตรแบบสหวิทยาการ สามารถพัฒนาบัณฑิตเพื่อรองรับเศรษฐกิจบริการของศตวรรษใหม่นี้ได้
สำหรับการศึกษาแบบองค์รวม (Holistic Education) นั้น เป็นผล หรือเป้าหมาย หรือ Outcome ที่ต้องการพัฒนาผู้เรียนให้ครบคุณสมบัติทั้งความรู้ด้านต่าง
ๆ ทักษะและสมรรถนะที่ผู้เรียนควรจะมีครบถ้วน
ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในสังคมยุคใหม่ Holistic
Education หรือการศึกษาแบบองค์รวม
อาจหมายถึงการพัฒนานักเรียนในทุก ๆ ด้าน
ตั้งแต่สอนให้มีประสบการณ์ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
จนไปถึงการพัฒนาอาชีพ
และกระทำตัวให้เป็นผลเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน ความรู้ ทักษะ
และสมรรถนะจะถูกพัฒนาไม่เพียงจากการศึกษาในระบบ จากประถมสู่การเรียนในระดับสูง
แต่รวมทั้งการศึกษานอกระบบที่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ใหม่ ๆ เป็นระยะ ๆ
ไปตลอดชีวิตการทำงาน เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณค่าในสังคมอย่างที่ควรเป็น โดยอาศัยรูปแบบการศึกษาที่มีภาวะต่อเนื่องดังที่กล่าวมาข้างต้น
โดยสรุป การศึกษายุคใหม่ต้องการพัฒนาผู้เรียนนอกจากมีความรู้แล้ว ยังให้มีคุณลักษณะเป็นองค์รวมประกอบด้วยอย่างน้อยดังต่อไปนี้
1)
สามารถปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสมในสังคมยุคใหม่
2)
สามารถวางแผนเพื่อพัฒนาตนเอง
และเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพื่อสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้
3)
มีทักษะในการสร้างนวัตกรรมและสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยปัญญาอย่างชาญฉลาด
4)
อาศัยทักษะในด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบด้านได้
5)
สามารถปรับปรุงตัวเองด้วยการใช้วิธีเรียนรู้แบบ
Reflective learning
6)
มีทักษะในด้านการสื่อสารทั้งการเขียนและการสนทนา
7)
สามารถใช้ไอซีทีและสารสนเทศอย่างสร้างสรรค์
คณะกรรมการการอุดมศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา (มคอ) ในลักษณะคล้ายกัน กล่าวคือ ตามประกาศคณะกรรมการการอุดมศึกษา เรื่อง แนวทางการปฏิบัติตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ บังคับให้สถาบันอุดมศึกษาจากนี้ไป
นอกจากการสอนเพื่อให้นักศึกษามีความรู้แล้ว ยังต้องสอนสมรรถนะด้าน คุณธรรม จริยธรรม ทักษะทางปัญญา
ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแนวโน้มเชิงความคิดเหมือนกันว่า
จากนี้ไป การพัฒนาบัณฑิตให้มีความรู้อย่างเดียวจะไม่พอที่จะทำให้สามารถแข่งขันอย่างยั่งยืนในสังคมใหม่ได้
ต้องฝึกทักษะด้าน Soft skills อีกหลาย ๆ เรื่อง
ที่สถาบันการศึกษาจะต้องวางแผนการสอนเพื่อให้นักเรียนนักศึกษาได้รับการพัฒนาในรูป Holistic
Education เพื่อเกิดความพร้อมที่จะดำเนินชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้าด้วยความมั่นใจ
แนวคิดของวิทยาการบริการเพื่อสนับสนุนการศึกษาแบบต่อเนื่องและเป็นองค์รวม
เพื่อดำเนินการให้ได้ผลตามที่กล่าว
นักการศึกษาต้องสามารถสร้างนวัตกรรมด้านบริการการศึกษาตามวิสัยทัศน์ของการศึกษาในภาวะต่อเนื่อง
(Education Continuum) ประกอบด้วย
1)
ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่รอบตัวเป็นตัวสนับสนุนการศึกษา
2)
ออกแบบกระบวนการเรียนการสอน
(Pedagogy) โดยเน้น Personalized
learning เป็นหลัก หรือมีลักษณะเป็น Student Centrality
3)
ให้ผลทั้งการพัฒนาองค์ความรู้และฝึกทักษะด้าน
Soft skills
4)
หาวิธีการบูรณาการทรัพยากรด้านการเรียนการสอน
ประกอบด้วย Learning contents และ Learning tools
รวมทั้ง shared information ที่เกี่ยวข้องจากแหล่งความรู้ต่าง
ๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนสร้างคุณค่าให้ตนเองอย่างเต็มที่ได้
5)
เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจเพื่อร่วมกันพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม
และ Real sectors ที่มีพลวัตสูงมากอันเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
และพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่มีผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำธุรกิจในศตวรรษใหม่นี้
แนวทางหนึ่งที่จะช่วยสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ได้ผลดังที่กล่าวข้างต้น
คือการใช้กรอบความคิดของวิทยาการบริการ (Service Science) เจตนาหลัก ๆ ของวิทยาการบริการ คือเป็นวิทยาการที่เน้นการสร้างนวัตกรรมบริการอย่างเป็นระบบ
(Systematic approach to service innovation) ภายใต้แนวคิดของวิทยาการบริการ
การศึกษาไม่ใช่เป็นบริการอย่างที่เคยเข้าใจ
บริการการศึกษาแบบดั่งเดิมให้ความสำคัญที่หน่วยของผลผลิต
เหมือนกับการผลิตสินค้าทั่วไป เช่น จำนวนหน่วยกิต
หรือจำนวนบัณฑิตที่เรียนจบ
แต่คำว่า “บริการการศึกษา” ตามแนวคิดของวิทยาการบริการ
เป็นการใช้สติปัญญา ความรู้ และทักษะเพื่อทำประโยชน์ให้ผู้อื่น ในที่นี้คือนักศึกษา
“บริการการศึกษา”
ในบริบทใหม่ให้ความสำคัญกับ “คุณค่า (Value)”
ที่ผู้เรียนจะได้จริง ผู้เรียนจะมีความรู้และทักษะพร้อมที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานและสร้างความก้าวหน้าให้ตนเองและสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้ตามความถนัดของแต่ละคน ความคิดใหม่นี้ไม่ต่างกับภาคธุรกิจที่เริ่มให้ความสำคัญที่คุณค่าที่ลูกค้าเพิ่งได้รับจากตัวสินค้า
ไม่เพียงแค่ได้กรรมสิทธิ์ในตัวสินค้าเท่านั้น ดังที่นักเศรษฐศาสตร์ Theodore Levitt เคยกล่าวว่า
“ที่จริงเราไม่ต้องการเป็นเจ้าของเครื่องสว่านเจาะรู แต่เราต้องการรูบนกำแพงเพื่อไว้แขวงรูปภาพ” นักการศึกษาสมัยใหม่ก็เช่นกัน ต้องยอมรับในความคิดว่า
บัณฑิตที่เรียนจบหลักสูตร ไม่เพียงแค่ต้องการปริญญาเท่านั้น แต่ต้องการความรู้และทักษะที่ตลาดต้องการ ที่จะช่วยให้สามารถทำมาหาเลี้ยงชีพได้จริง
ความแตกต่างระหว่างการบริการการศึกษาแบบเดิมกับแบบตามแนวคิดของวิทยาการบริการ
อยู่ที่แบบเก่าเน้นผลในเชิงปริมาณของผลผลิต แต่ความคิดใหม่จะให้ความสำคัญกับคุณค่า
ด้วยกระบวนการสร้างคุณค่า (Value Creation) ดังนั้น แนวคิดของวิทยาการบริการจึงถูกนำมาใช้สนับสนุนพัฒนาการศึกษาโดยเน้นการสร้างคุณค่าด้วยหลักวิธีของ
Co-creation และการสร้างเครือข่ายสนับสนุนการสร้างคุณค่า (Value
network)
1.
การสร้างคุณค่าร่วมกัน (Co-creation of value)
ตามแนวคิดของวิทยาการบริการ คุณค่าจะเกิดแก่ผู้เรียนได้นั้น
ผู้เรียนจะต้องสร้างขึ้นเอง โดยมีอาจารย์และผู้อื่นให้การสนับสนุน แต่คุณค่าของผู้เรียนแต่ละคนจะแตกต่างกันตามบริบท
เนื่องจากพื้นฐานความรู้ของผู้เรียนนั้นต่างกัน
นอกจากนี้ ความต้องการในเชิงคุณค่าของแต่ละคนก็ยังต่างกัน ความตั้งใจเล่าเรียนก็ต่างกัน
ในด้านสติปัญญาก็แตกต่างกันด้วย ดังนั้นคุณค่าที่เกิดขึ้นจริงจึงขึ้นอยู่ที่บริบท
(Context) และสภาพแวดล้อมของผู้เรียนแต่ละคน อาจารย์ผู้สอนที่ต้องสนับสนุนการสร้างคุณค่าที่แตกต่างกันตามบริบทของผู้เรียนจำนวนมากนั้นจะไม่สามารถทำเองได้โดยลำพัง เพราะไม่มีความชำนาญเฉพาะด้าน (Specialization)
ที่หลากหลายเพียงพอที่จะตอบโจทย์ของผู้เรียนเฉพาะตัวสำหรับทุก ๆ คน จำเป็นต้องอาศัยทรัพยากรจากที่อื่น การสร้างคุณค่าจากคนหลายคนคือความหมายของคุณค่าที่สร้างร่วมกัน
(Co-creation) นั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ การศึกษาภายใต้แนวคิดของวิทยาการ จึงเป็นการเรียนที่เน้นการสร้างคุณค่าจากแหล่งความรู้หลายแหล่ง
ทั้งจากเพื่อนร่วมเรียน จากอาจารย์ภายในและภายนอกสถาบัน และกับผู้อื่นที่มีองค์ความรู้และทักษะพร้อมที่จะสนับสนุนการสร้างคุณค่าได้ อาจารย์มีหน้าที่หลักคือสร้างข้อเสนอ (Offering)
ประกอบด้วยบทเรียน
เนื้อหาสาระ กำหนดกระบวนการเรียนการสอนที่เหมาะสม และอื่น ๆ
ที่นำเสนอให้ผู้เรียนแต่ละคนนำไปสร้างคุณค่าให้ตนเองได้
2.
การสร้างคุณค่าจาก Value Network
การสร้าคุณค่าร่วมกัน (Co-creation of value) เป็นการทำงานกันร่วมกันด้วยคนหลายคน ทั้งภายในสถาบันเดียวกัน
หรือต่างสถาบัน เป็นการทำงานแบบเครือข่าย เมื่อยิ่งต้องการให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนและรับรู้องค์ความรู้ใหม่
ๆ และทันสมัยให้ครบถ้วนตามแนวทางการศึกษาแบบองค์รวม ก็ยิ่งต้องมีอาจารย์ที่มีความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการสร้างคุณค่ามากขึ้น
ยิ่งมีคนที่เกี่ยวข้องมาก ระบบเครือข่ายเพื่อการเรียนการสอนก็จะยิ่งสลับซับซ้อนมาก
ทุกวันนี้ เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถสนับสนุนการสร้างเครือข่ายให้ทำงานใกล้ชิดขึ้นและสะดวกยิ่งขึ้น
ความสลับซับซ้อนของเครือข่ายจึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เครือข่ายไอซีทีช่วยให้เราสามารถแบ่งปันความรู้และข้อมูลได้ง่ายและสะดวก
ทำให้ผู้เรียนมีโอกาสได้รับข้อเสนอเพื่อนำไปสร้างคุณค่าจากที่ต่าง ๆ
ได้อย่างกว้างขวาง อันเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนมาก อาจารย์ผู้สอนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทให้ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยแนะแนวให้มากขึ้น
ทดแทนการสอนที่น้อยลง
ตามแนวคิดของวิทยาการบริการ การเรียนการสอนแบบร่วมกันสร้างคุณค่า
จึงเป็นเรียนการสอนแบบเครือข่าย เรียกว่าเครือข่ายเพื่อการสร้างคุณค่า (Value
Network) กลุ่มบุคคลที่มีความรู้และทรัพยากรที่มาอยู่ร่วมกันเป็นเครือข่ายเพื่อสนับสนุนการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้เรียน
เรียกว่า Value Constellation
หลักการพัฒนาการเรียนการสอนภายใต้แนวคิดของวิทยาการบริการ (Guiding Principles)
จากแนวคิดของวิทยาการบริการที่กล่าวข้างต้น
การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนเพื่อมุ่งสู่ผลที่ผู้เรียนได้คุณค่าตามบริบท
และเป็นการพัฒนาความรู้และทักษะตามแบบ Holistic Education นั้น
อาจารย์ผู้สอนต้องมีทักษะในการสร้างกระบวนการเชิงนวัตกรรมจากองค์ความรู้ ความชำนาญ
และทรัพยากรเพื่อการเรียนอื่น ๆ ที่จำเป็นเพื่อประกอบเข้าเป็นข้อเสนอสำหรับการเรียน
(Offering for learning) โดยอาศัยหลักการ หรือ Guiding
Principles ดังนี้
1.
ผลการเรียนจะขึ้นอยู่กับความสามารถของอาจารย์ที่สรรหาองค์ความรู้และทรัพยากรเพื่อการเรียนอื่น
ๆ มาประกอบ (Configure) ให้เป็นข้อเสนอ Offering ที่นำไปสู่การสร้างคุณค่าแก่ผู้เรียนได้
2.
ความสามารถดูดซับความรู้จะขึ้นอยู่ที่สมรรถนะของผู้เรียนที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่น
(Collaborative competency)
3.
ผลสัมฤทธิ์จะขึ้นอยู่ที่ความสามารถของอาจารย์ที่จะทำให้นักศึกษามีส่วนร่วมในกิจกรรม
โดยยึดหลักการช่วยตัวเอง
4.
อาจารย์ที่เข้าใจพฤติกรรมการเรียนและภูมิหลังของนักศึกษา
จะสามารถออกแบบกระบวนการเรียนที่ดีให้นักศึกษาได้
5.
การเรียนร่วมกันเป็นกลุ่ม
และเป็นเครือข่ายจะได้ผลดีนั้น อาจารย์ต้องมีส่วนร่วม เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย
6.
ผู้เรียนจะเป็น Co-creator of value ที่ดี และได้ผลสัมฤทธิ์ อาจารย์จะต้องทำหน้าที่เป็นผู้ขับเคลื่อน ช่วยแนะแนว
และทำหน้าที่เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
7.
กระบวนการสร้างคุณค่าเพื่อการศึกษาจะได้ผลดีนั้น
ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี และมีระบบประเมินผลที่เหมาะสม
แนวคิดใหม่เพื่อการพัฒนาการศึกษาสู่
Educational Continuum และ Holistic
Education นั้น
ทั้งผู้บริหารสถาบันการศึกษาและคณาจารย์ต้องยอมรับว่า
การศึกษาที่ดีต้องเป็นบริการภายใต้การสร้างคุณค่าร่วมกัน (Co-created
learning service) และประเมินผลลัพธ์ของอาจารย์และของสถาบันจากคุณค่าของนักศึกษาที่ได้จริง
ไม่ใช่วัดจากจำนวนหน่วยกิตหรือจำนวนปริญญาที่ให้ไป ความคิดนอกกรอบนี้อาจยอมรับกันได้ยากในระยะแรก
แต่หลักการของวิทยาการบริการที่ได้วางพื้นฐานไว้สำหรับนักบริหาร
อย่างน้อยจะช่วยชี้แนะแนวความคิดใหม่สำหรับการกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาการศึกษาโดยเน้นที่
Outcome มากกว่า Output เพื่อตอบสนองความต้องการของนักศึกษาและภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานที่มีความรู้และทักษะตรงคุณลักษณะที่ต้องการได้
เอกสารแนะนำให้อ่านเพิ่ม
เรื่อง “A Service Science Perspective on Higher Education” http://www.americanprogress.org/wp-content/uploads/issues/2012/08/pdf/service_science.pdf
No comments:
Post a Comment