บทความที่จะนำเสนอในตอนนี้
เป็นผลสรุปจากการบรรยายในงาน SRII Asia Summit
2013 (SRII ย่อมาจาก Service Research and Innovation
Institute) เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2556
ทำไมนวัตกรรมบริการจึงยากเย็นนัก
นวัตกรรมไม่เหมือนการวิจัย
เพราะนวัตกรรมต้องเป็นการสร้างสิ่งใหม่ ๆ ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้
มีผู้ใหญ่ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เคยกล่าวว่า “การวิจัยเป็นการใช้เงินเพื่อหาความรู้ แต่นวัตกรรมเป็นการใช้ความรู้เพื่อหาเงิน”
นวัตกรรมจึงเป็นการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ
ที่นำไปใช้ทำประโยชน์ได้จริง แต่เนื่องจากนวัตกรรม โดยเฉพาะนวัตกรรมบริการเป็นการคิดสิ่งใหม่
ๆ ในเชิงกระบวนการบริการ (Service processes)
ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน จึงยังรู้สึกถึงความไม่แน่นอนว่าจะได้ผลจริงหรือไม่
เป็นเหตุให้ความยอมรับในนวัตกรรมใหม่ ๆ นั้นมีอุปสรรคเว้นแต่จะได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว
การพิสูจน์ผลจึงเป็นช่วงวิกฤติที่จะตัดสินว่านวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นนั้นจะมีโอกาสนำไปใช้จริงหรือไม่
เนื่องจากการพิสูจน์ผลต้องใช้งบประมาณขององค์กรและต้องได้รับการสนับสนุนจะผู้บริหาร
แต่ผู้บริหารมักจะให้ความสำคัญกับใช้งบประมาณที่จำกัดเพื่อบรรลุผลตามพันธกิจ การขอแบ่งปันงบประมาณเพื่อสนับสนุนนวัตกรรมใหม่
ๆ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เว้นแต่ว่า นวัตกรรมได้ถูกทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และมีการสื่อสารให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับรู้เป็นระยะ
ๆ ภาษาอังกฤษใช้ประโยคว่า “Systematic
approach to service innovation” หรือมีวิธีการทำนวัตกรรมบริการอย่างเป็นระบบ
วิธีการทำนวัตกรรมบริการอย่างเป็นระบบ
การทำนวัตกรรมบริการอย่างเป็นระบบวิธีหนึ่งคือใช้พื้นฐานแนวคิดของวิทยาการบริการ
(Service Science) แนวคิดหนึ่งที่เริ่มยอมรับกันคือให้มองสินค้าหรือบริการเป็นเพียงองค์ประกอบของข้อเสนอ
(Offering)[1]
ที่นำไปสู่การสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภค ในบริบทของธุรกิจ
เช่นธุรกิจขายรถยนต์ แทนที่จะขายรถยนต์เป็นสินค้าอย่างที่เคยทำมา
ให้ขายเป็นข้อเสนอที่มีรถยนต์เป็นองค์ประกอบ โดยข้อเสนอส่วนหนึ่งจะเป็นเรื่องบริการต่าง
ๆ ที่ทำให้ผู้ใช้รถยนต์ได้รับประโยชน์มากที่สุด ตัวอย่างเช่น บริการด้านการเงิน
คือเสนอให้ชำระด้วยเงินผ่านระยะยาวด้วยดอกเบี้ยต่ำ เสนอบริการหลังการขายด้วยบริการที่ไม่คิดเงินในช่วงระยะ
3-5 ปีแรก เสนอบริการในภาวะฉุกเฉินหรือในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
ฯลฯ การรวมบริการต่าง ๆ กับตัวสินค้ารถยนต์ในรูปแบบ
Offering ลักษณะนี้ไม่ใช่ของใหม่ และได้เริ่มทำกันมานานแล้ว
แต่ด้วยพัฒนาการทางเทคโนโลยีสารสนเทศที่ก้าวหน้า
โดยเฉพาะยุคบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน ทำให้นวัตกรรมบริการด้านการสร้างข้อเสนอได้พัฒนาไปอีกก้าวหนึ่งภายใต้แนวคิดของวิทยาการบริการที่สามารถสร้างคุณค่าได้มากกว่าเดิม
ตัวอย่างของนวัตกรรมบริการที่ก้าวหน้ามากตามแนวคิดของวิทยาการบริการรูปแบบหนึ่งและได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มประเทศตะวันตก
คือบริการของ Zipcar (zipcar.com) และ
Car2Go (car2go.com) และอีกหลาย ๆ แห่ง ธุรกิจทั้งสองไม่ได้ขายรถยนต์เป็นรถยนต์ แต่บริการใช้รถยนต์เพื่อเดินทางสัญจรอย่างสะดวก
ลูกค้าไม่จำเป็นต้องซื้อรถ ไม่ต้องจ่ายเงินดาวน์ ไม่ต้องมีเงินมัดจำ
ทุกครั้งที่ต้องการใช้รถ เพียงติดต่อบริษัทผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยเครื่องโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์
ในกรณีของ Car2Go ลูกค้าจะได้รับแผนที่ผ่านอินเทอร์เน็ตระบุตำแหน่งรถยนต์คันที่พร้อมให้บริการใกล้ตำแหน่งลูกค้าในขณะนั้นผ่านเครื่องรับสัญญาณดาวเทียม
ลูกค้าเดินทางไปยังรถคันที่ระบุแล้วขับได้เลย เมื่อถึงปลายทาง ลูกค้าหาที่จอดตามความสะดวก
บริษัทจะตามไปนำรถคืนเอง ทั้งหมดนี้ลูกค้าจะจ่ายค่าบริการตามระยะทางและเวลาที่ใช้จริง
ทั้งหมดเป็น Offering ที่เป็นนวัตกรรมบริการที่เน้นการสร้างคุณค่าแก่ลูกค้าอย่างแท้จริง
ความแตกต่างของตรรกะทางธุรกิจ
(Business Logic) คือ ในรูปแบบเดิมที่ขายสินค้าเป็นสินค้านั้น
เป็นธุรกิจที่เน้นการแลกเปลี่ยนกรรมสิทธิ์กัน คุณค่า (Value) ที่ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อได้รับ คือความพอใจในราคา (Price) ที่ตกลงเพื่อแลกเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ (Value in-exchange) คุณค่าจริงที่ลูกค้าจะได้จากการใช้สินค้าหรือบริการหรือไม่นั้น ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ขาย
ลูกค้าต้องรับผิดชอบเองหมด ซึ่งต่างจากรูปแบบใหม่ที่ซื้อขายแบบ Offering ในกรณีหลังนี้ ผู้ขายต้องพยายามหาวิธีบริการ (Service Innovation) ในรูปของข้อเสนอ (Offering) เพื่อให้ลูกค้านำไปสร้างคุณค่า
โดยคุณค่าที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าได้นำข้อเสนอไปใช้จริง
คุณค่าได้หรือไม่ได้นั้น ลูกค้าเป็นคนบอกเองภายหลังจากการใช้ข้อเสนอ (Value
in-use) เงื่อนไขเช่นนี้ ทำให้ผู้ขายต้องพยายามหาลู่ทางที่จะสร้าง Offering
เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้คุณค่าจริงเมื่อได้ใช้ข้อเสนอแล้ว
เพื่อให้สามารถแข่งขันอย่างยั่งยืนได้ ผู้ขายต้องพยายามสร้างนวัตกรรมบริการ
เพื่อให้คุณค่าแก่ลูกค้าให้ได้มากที่สุด และเป็นคุณค่าที่จับต้องได้จริง
ความยากของรูปแบบธุรกิจใหม่นี้คือ
คุณค่าที่จะเกิดได้จริงหรือไม่นั้น ลูกค้าต้องเป็นผู้ร่วมกันทำให้เกิดขึ้น (Co-creation) แต่เนื่องจากข้อเสนอนี้ต้องบริการลูกค้าที่หลากหลายมาก
และแต่ละคนจะใช้ข้อเสนอในบริบทที่แตกต่างกัน คุณค่าจึงเป็นคุณค่าที่จะเกิดขึ้นตามบริบท
(Context) ของลูกค้า ณ ขณะใดขณะหนึ่ง (Value
in-context) จึงคาดเดาได้ยากมาก วิธีหนึ่งที่ผู้ขายใช้แก้ปัญหานี้
คือสร้าง Offering จากสินค้าและบริการเดิมให้เป็น Offering
ที่หลากหลายอย่าง (Varieties)ให้เลือกที่เหมาะกับบริบทของลูกค้า ทักษะในการสร้างนวัตกรรมบริการที่หลากหลายจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ความเข้าใจขีดความสามารถของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะช่วยสร้างนวัตกรรมบริการที่หลากหลายได้
Building Block ของนวัตกรรมบริการ
นอกจากพื้นฐานแนวคิดจากวิทยาการบริการ
(Service Science) ที่กล่าวข้างต้น
การสร้างนวัตกรรมบริการยังต้องอาศัยกรอบ (Framework) เพื่อใช้เป็นหลักยึดในกระบวนการสร้างนวัตกรรมบริการ
กรอบดังกล่าวเป็นส่วนประกอบโครงสร้าง หรือ Building Block ของนวัตกรรมบริการที่มี
4 ส่วนดังแสดงในภาพข้างล่างนี้
1.
ข้อมูล
(Data)
ข้อมูลในบริบทนี้หมายถึงวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของคุณค่า
(Value) ที่คาดหวังจากผลงานของนวัตกรรมบริการ
รวมทั้งประเด็นเงื่อนไขข้อจำกัด กล่าวโดยย่อ ๆ คือเป็นโจทย์ที่ต้องการหา Solutions
นั่นเอง ตัวอย่างบริการใช้รถยนต์เพื่อเดินทางสัญจรที่ได้กล่าวมาแล้ว
ข้อมูลนี้หมายถึงลักษณะการบริการ
เงื่อนไขที่เกี่ยวกับการให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ที่ต้องรู้ตำแหน่งของรถ
สามารถเปิดประตูและสตาร์ทเครื่องยนต์ได้โดยอาศัยกุญแจอิเล็กทรอนิกส์พิเศษ
มีระบบการชำระเงินที่สะดวก ฯลฯ อาจถือได้ว่าเป็นคุณลักษณะหรือ Specification
ของกลุ่มข้อเสนอที่จะถูกสร้างขึ้น
2.
กระบวนการ
(Process)
กระบวนการในที่นี้หมายถึงกระบวนการให้บริการในฝั่งผู้ให้บริการ
และกระบวนการใช้บริการในฝั่งของผู้ใช้บริการ เป็นส่วนสำคัญของนวัตกรรมบริการ
และเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีคุณค่ามาก เพราะจะเป็นส่วนที่มาจากแนวความคิดใหม่ ๆ
ที่ถือว่าเป็นนวัตกรรม
โดยเฉพาะในยุคที่พัฒนาการด้านไอซีทีได้ก้าวหน้าไปมาก
นวัตกรรมบริการมักจะต้องสร้างขึ้นบนพื้นฐานของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
โดยเฉพาะบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์พกพาไร้สาย
3.
เทคโนโลยี
(Technologies)
เพื่อสนับสนุนกระบวนการที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอเพื่อสร้างคุณค่า
รวมทั้งการเชื่อมโยงทรัพยากรทั้งจากแหล่งภายในและภายนอกองค์กรเพื่อร่วมกันสร้างข้อเสนอและสร้างคุณค่า[2] จำเป็นต้องอาศัยระบบบริการ (Service System) ที่เป็นระบบไอซีที ที่สำคัญ
ระบบบริการที่เป็นไอซีทียังใช้เป็นระบบส่งมอบ (Deliver system)
ข้อเสนอให้ลูกค้านำไปสร้างคุณค่า ระบบบริการนี้จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับข้อเสนอและกระบวนการสร้างคุณค่า
การออกแบบระบบบริการถือว่าเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของนวัตกรรมบริการ ตัวอย่างบริการรถยนต์เพื่อเดินทางสัญจร
ประกอบด้วยเทคโนโลยีหลายด้าน เช่น เทคโนโลยีการใช้รหัสดาวโหลดลงในบัตรหรือในเครื่องโทรศัพท์เพื่อใช้เป็นกุญแจเปิดรถและสตาร์ทเครื่องยนต์
ระบบรับสัญญาณดาวเทียมเพื่อระบุตำแหน่งของรถยนต์ ระบบชำระเงินออนไลน์ ระบบบริหารข้อมูลของสมาชิก
ระบบติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการเพื่อทำธุรกรรมด้านต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการใช้บริการ เป็นต้น
4.
สภาพแวดล้อม
(Environment)
สภาพแวดล้อมในบริบทนี้
หมายถึงการรับรู้เกี่ยวกับรายละเอียดและภาวการณ์ (Profile) ของลูกค้า ที่จะช่วยให้การสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างผู้ให้บริการกับผู้รับบริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล
เป็นเรื่องของพยายามเข้าใจบริบทต่าง ๆ ของผู้บริโภคเพื่อจะได้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าในบริบทต่าง
ๆ ได้ นอกจากนี้ยังอาจหมายถึงสภาพแวดล้อมด้านอื่น ๆ ที่มีนัยสำคัญต่อการออกแบบข้อเสนอ
และระบบบริการที่นำไปสู่การสนับสนุนให้ลูกค้าสร้างคุณค่าได้เต็มที่ ตัวอย่างเช่น
ในรูปแบบธุรกิจของ IKEA การบริการให้ลูกค้ามีบ้านที่น่าอยู่ มีห้องรับแขกที่สบายตาสบายกาย
จำเป็นต้องให้ลูกค้ามีส่วนในการออกแบบและเลือกรูปแบบเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะกับรสนิยมของตนเอง
ซึ่งหมายถึงต้องมีสถานที่ที่แสดงการวางตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ลักษณะต่าง ๆ ให้ลูกค้าเกิดไอเดีย นอกจากนี้ ในกรณีที่ลูกค้าพาสมาชิกครอบครัวมาร่วมกันเลือกรูปแบบสินค้า
หรืออาจมีนักออกแบบภายในมาช่วยกันออกแบบและเลือกเฟอร์นิเจอร์
เพื่อให้เกิดความพอใจแก่ทุกฝ่าย รวมทั้งในบางกรณี
ลูกค้าอาจพาลูกหลานตัวน้อย ๆ ไปร่วมสนุกด้วย ห้าง IKEA จะต้องจัดสถานที่โชว์รูมที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป
พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง ตั้งแต่ร้านอาหาร ที่นั่งเพื่อการปรึกษาหารือ
รวมทั้งสถานที่เด็กเล่น ที่จะสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคในบริบทที่แตกต่างกันได้
ทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่นักสร้างนวัตกรรมบริการต้องให้ความตระหนักและเป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมบริการที่มาในรูปของข้อเสนอแบบเบ็ดเสร็จ
โดยสรุป
การสร้างนวัตกรรมบริการที่สามารถนำไปใช้ได้จริง
จำเป็นต้องมีการสร้างนวัตกรรมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน อย่างเป็นระบบ วิทยาการบริการ (Service Science) เป็นศาสตร์สำคัญที่จะช่วยชี้แนะจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การสร้าง
Idea ที่แตกฉานและหลากหลาย
เป็นประโยชน์ต่อการสร้างนวัตกรรมบริการ ในยุคใหม่นี้ นวัตกรรมบริการจะสร้างอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีไอซีที
ทำให้เกิดข้อเสนอในเชิงบริการที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงและหลากหลาย นอกจากนี้
การสร้างนวัตกรรมบริการยังต้องอาศัยกรอบ (Framework) ที่มี 4
ส่วน คือ ข้อมูล (Data), กระบวนการ (Process),
เทคโนโลยี (Technologies) และ สภาพแวดล้อม (Environment) ตามที่ได้บรรยายมาแล้วข้างต้น
เพื่อให้เข้าใจการสร้างนวัตกรรมบริการที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
จะขอยกตัวอย่างนวัตกรรมบริการด้านการศึกษา แต่ข้อยกไปเป็นบทความตอนที่ 2 ต่อไปครับ
[1] อ่านเรื่อง Offering จากบทความชุด “อิทธิพลของบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตกับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ” http://ictandservices.blogspot.com/2013_08_01_archive.html
[2] อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทความ “อิทธิพลของบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตกับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ
ตอนที่ 4” จาก http://ictandservices.blogspot.com/2013/09/4.html
ขอบคุณท่านอาจารย์มากครับ สำหรับบทความดีๆ
ReplyDelete