พัฒนาการทางเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้มีช่องทางทางการค้าที่หลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นช่องทางจากเครือข่ายสังคม (Social Network)
ช่องทางผ่านอุปกรณ์พกพา ช่องทางทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรือ e-Marketplace ช่องทางผ่านเว็บไซท์ของธุรกิจเอง
แม้กระทั่งระบบโทรทัศน์ดิจิทัลก็เป็นช่องทางการค้าได้ เมื่อรวมกับช่องทางการค้าที่เป็นร้านค้ากายภาพทั้งแบบใหม่
(Modern Trade) และแบบดั่งเดิม (Traditional Trade) กลายเป็นช่องการค้าหลายช่องทางหรือ Omni-channels ผลที่เกิดตามมาคือทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น
เมื่อลูกค้ามีทางเลือกมาก การกำหนดราคาซื้อขายจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ซื้อ
ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อบนพื้นฐานของราคาและคุณค่าอื่นที่พอใจ ผลที่ตามมาคือทำให้กำไรของผู้ขายลดลงจนถึงขั้นอาจไม่ได้กำไรเลย
การตัดราคากลายเป็นหนทางเดียวที่ใช้ในการแข่งขันทางธุรกิจ
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว ธุรกิจหันมาสนใจกลยุทธ์สร้างความแตกต่างที่อาศัยการผสมผสานระหว่างสินค้าและบริการ
ถึงแม้สินค้าที่ผลิตในกลุ่มคู่แข่งจะมีลักษณะและคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน แต่นวัตกรรมบริการที่เสนอ
(Offer) พร้อมกับตัวสินค้าจะเป็นตัวทำให้เกิดความแตกต่างได้ เมื่อเป็นเช่นนี้
ธุรกิจย่อมจะกำหนดราคามากน้อยขึ้นอยู่ที่คุณค่า (Value) ของข้อเสนอ
ยุทธศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่า (Value Creation) จากข้อเสนอทางบริการ (Service Offering) ที่ทำให้ลูกค้าได้คุณค่าและประโยชน์ที่แท้จริงจากสินค้าและบริการที่ซื้อไปจึงดูเสมือนเป็นหนทางที่ดีที่จะทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
และเป็นเป้าหมายสำคัญของการปฏิรูปหรือปรับเปลี่ยนธุรกิจภายใต้อิทธิพลของเทคโนโลยีดิจิทัล
ในบทนี้จะนำเสนอรูปแบบธุรกิจที่สร้างนวัตกรรมเชิงข้อเสนอ (Offering) เพื่อสร้างคุณค่าให้ลูกค้า ให้สินค้ามีความโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง
โดยเฉพาะข้อเสนอที่ประกอบด้วยบริการดิจิทัลที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะด้านและเฉพาะตัวบุคคล
(Customization and Personalization) ด้วยต้นทุนที่ต่ำ และจะอธิบายหลักคิดของการสร้างคุณค่า
(Value Creation) รวมทั้งวิธีสร้างคุณค่าที่นิยมใช้กันในยุคดิจิทัล
ความท้าทายของการสร้างคุณค่าอยู่ที่ความสามารถออกแบบการปฏิสัมพันธ์กันเพื่อ Mobilize
นักปฏิบัติ (Actors) ที่เป็นพันธมิตรให้ร่วมกันสร้างคุณค่า
(Co-creation) เมื่อมีคนร่วมมือกันยิ่งมาก ก็จะยิ่งทำให้เกิดข้อเสนอที่เป็นประโยชน์และหลากหลาย
คุณค่าก็จะยิ่งเกิดได้มากขึ้นเป็นทวีคูณ ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจภายหลังการปฏิรูปจึงมักจะมีกระบวนการทำธุรกรรมกันเป็นเครือข่าย
เวทีการค้าจึงเปลี่ยนจากที่เคยเป็นตลาดการค้ากายภาพ (Marketplace) มาเป็นตลาดการค้าที่เป็นไซเบอร์ (Market-space) ที่มีผู้ร่วมปฏิบัติจำนวนมากในการค้าขายและสร้างคุณค่าร่วมกัน
นิยมเรียกกันว่าเป็นระบบสร้างคุณค่า (Value Creation System) หรือระบบนิเวศทางการค้า (Business Ecosystem)
1.
รูปแบบธุรกิจที่ผสมสินค้ากับบริการ
(Servitization)
การปฏิรูปหรือการปรับเปลี่ยนธุรกิจในยุคดิจิทัลมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนกลยุทธ์จากการจัดการเพื่อผลิตสินค้าด้วยต้นทุนต่ำ
และขายสินค้าได้ถูกกว่าคู่แข่ง มาเป็นการสร้างคุณค่า (Value Creation) ให้ลูกค้าได้มากกว่าผู้อื่นแทน
ธุรกิจมุ่งเน้นหามาตรการที่จะสร้าง Extrinsic Value[1] ให้ได้หลากหลายกว่าโดยไม่เพิ่มภาระต้นทุนให้แก่ทั้งธุรกิจเองและให้แก่ผู้บริโภค
การสร้างบริการดิจิทัล (Digital Services) เพื่อให้เกิด Extrinsic
Value ที่ตอบโจทย์ลูกค้าตามบริบทโดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลจึงเป็นทางเลือกที่ธุรกิจให้ความสนใจ
การสร้างข้อเสนอ (Offering) ผสมผสานระหว่างบริการดิจิทัลกับสินค้าเพื่อสร้างความแตกต่างดังที่กล่าวนิยมเรียกว่า
“Servitization[2]” ตัวอย่างเช่น
แทนที่จะขายเพียงแค่อาหารทะเลแช่แข็ง
บริษัทเพิ่มบริการสอนการทำอาหารที่ใช้อาหารทะเลแช่แช็งผ่านคลิปบน YouTube ลูกค้าเข้าถึงคลิปสาธิตการทำกับข้าวได้ด้วยรหัส QR ที่พิมพ์บนซองของอาหารที่ซื้อไป
จากนี้ไป เราจะพบธุรกิจต่าง ๆ เริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจากเดิมเพียงแค่ผลิตและจำหน่ายสินค้ามาเป็นธุรกิจผลิตและให้บริการด้วยข้อเสนอที่หลากหลายที่มีคุณค่าแก่ผู้บริโภคมากขึ้น
ธุรกิจขนาดใหญ่ที่ผลิตสินค้าประเภทเครื่องจักรอุตสาหกรรม (Industrial Products) ราคาแพง ๆ
เป็นกลุ่มแรกที่เริ่มทำ Servitization ด้วยวิธีเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้เป็นบริการ
เช่นเปลี่ยนการขายโอนกรรมสิทธิ์เป็นการเช่าใช้รวมบริการหลังการขาย แต่ถ้าเป็นการขายโอนกรรมสิทธิ์เหมือนเดิม
ก็จะเพิ่มการบริการหลังการขายที่หลากหลายอย่าง ตั้งแต่การอบรมสร้างความชำนาญในการใช้สินค้าและการบำรุงรักษา
เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้ทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า แต่สำหรับธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมนั้น
สินค้าที่ผลิตจำหน่ายไม่สลับสับซ้อนเท่าสินค้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมที่กล่าวข้างต้น
รูปแบบการทำ Servitization จึงมีลักษณะแตกต่างกัน
ซึ่งเอสเอ็มอีสามารถเลือกรูปแบบเพื่อทำ Servitization จาก 3
รูปแบบขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจและความพร้อม ดังนี้
1.1.
Servitization ผ่านกระบวนการทำงาน (Servitization Through Processes)
ธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมควรเน้น
Servitization ในเชิงกระบวนการ (Business
Processes) เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกและมีคุณค่าหลากหลายหลังจากการสั่งซื้อสินค้าแล้ว
ประกอบด้วยกลุ่มกระบวนการหลักเกี่ยวกับงาน Order Fulfillment เริ่มตั้งแต่รับการสั่งซื้อ การผลิต การจัดส่ง ตลอดจนบริการเพื่อแก้ไขปัญหาหลังการขายอื่น
ๆ เช่นการจัดการวัสดุและชิ้นส่วนหรือสินค้าคงคลังของทั้งฝั่งผู้ผลิตและฝั่งลูกค้าเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนไหลเข้าสู่กระบวนการผลิตโดยไม่สดุด
และสินค้าที่นำไปจำหน่ายต่อนั้นไม่ขาดมือ รวมทั้งกระบวนการรับสินค้าคืน เอสเอ็มอีต้องหาวิธีที่จะช่วยให้ลูกค้าประหยัดต้นทุนเพื่อการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าด้วยมาตรการเช่น
Auto Replenishment หรือออกแบบกระบวนการภายในห่วงโซ่คุณค่าของตนเองเพื่อลดต้นทุนให้ลูกค้าได้
เอสเอ็มอีที่รับจ้างผลิตชิ้นส่วนหรือผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จต้องถือว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของลูกค้า
การทำ Servitization หรือ Bundle บริการรวมกับผลิตภัณฑ์หลักจนกลายเป็นข้อเสนอที่สร้างคุณค่าให้ลูกค้าได้จริงนั้นต้องมีผลทำให้กระบวนการผลิตของลูกค้าราบรื่นไม่ติดขัด
ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อเอสเอ็มอีได้ปรับกระบวนการทำงานภายในด้วยระบบไอซีทีและดิจิทัลให้เป็นกระบวนการทำงานที่มีความเป็นอัตโนมัติให้มากที่สุด
และสามารถเสนอการบริการด้วยระบบ Order Fulfillment ที่ทำงานแบบออนไลน์เชื่อมโยงกับลูกค้าเต็มรูปแบบ
สามารถเฝ้าติดตาม (Monitor) กิจกรรมในห่วงโซ่คุณค่าของลูกค้าในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบ
และตอบสนองเพื่อแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการบริหาร
Logistics ด้วยการจัดตารางเวลาส่งวัสดุและชิ้นส่วนเข้าสู่กระบวนการผลิตได้อย่างเหมาะสม
ไม่มากไป ไม่น้อยไป
การพัฒนากระบวนการบริการลูกค้าทั้งกลุ่มธุรกิจ (B2B) และกลุ่มผู้บริโภค (B2C) นอกจากจะ Digitize กระบวนการทำงานในกลุ่ม Order
Fulfillment แล้ว
กระบวนการทำงานในกลุ่มต้นน้ำและกลางน้ำของเอสเอ็มอีเองก็ต้องได้รับการปรับปรุงเช่นเดียวกัน
เพื่อที่จะสนับสนุนการทำงานปลายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพตามกลยุทธ์ของ Servitization
ที่เน้นการบริการลูกค้าในเชิงกระบวนการดังกล่าวข้างต้น โดยสรุป
กลยุทธ์ที่จะเสริมบริการหลังการขายให้ลูกค้าควรปรับปรุงกระบวนการทำงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า
จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลรวมทั้งเทคโนโลยี IoT ดังต่อไปนี้
1)
กระบวนการในกลุ่ม
Inbound Supply Chain
Inbound supply chain รวมกิจกรรมตั้งแต่การสั่งซื้อ
การรับสินค้าเข้าคลังสินค้าที่เข้าสู่กระบวนการผลิต กระบวนการทั้งหมดถ้าทำได้ดีจะมีผลต่อกระบวนการปลายน้ำด้วย
การออกแบบกระบวนการให้ทำงานแบบอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยี ดิจิทัลในยุคปัจจุบันนอกจากจะจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
ยังได้ข้อมูลจากกิจกรรมหลัก ๆ ของ Inbound supply chain ที่แลกเปลี่ยนกับพันธมิตรได้
การบริการด้วยข้อมูลจากกิจกรรมภายใน Inbound supply chain จะเป็นประโยชน์กับลูกค้าเพื่อการบริหารงานห่วงโซ่คุณค่าของลูกค้าเอง
โดยเฉพาะลูกค้าที่จะนำข้อมูลไปใช้ประกอบการทำงานของระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)
การ Automate
กระบวนการ Inbound supply chain นั้น
เอสเอ็มอีต้องมีระบบสารสนเทศที่ทำงานด้านจัดซื้อ การบริหารวัสดุหรือสินค้าคงคลัง
ระบบบัญชีต้นทุนเป็นพื้นฐาน อาจจะปรับปรุงกระบวนการทำงานด้วย IoT (Internet
of Things) ที่เป็น Sensors หรือ RFID เพื่อช่วยควบคุมและติดตาม (Monitor) การเคลื่อนย้ายสินค้ารวมทั้งการจัดการงานด้านคลังสินค้าให้ได้ระดับสินค้าคงคลังที่เหมาะสม
ในกรณีนี้ เครื่อง Sensors จะช่วยวัดน้ำหนักของชิ้นส่วนหรือวัสดุที่บรรจุในภาชนะ
หรือวัดระดับความสูงของที่เก็บสินค้าหรือวัสดุภายในคลังสินค้าเพื่อประเมินสินค้าคงเหลือพร้อมทั้งส่งสัญญาณไปยังผู้รับผิดชอบเพื่อดำเนินการตามสมควรต่อไป
ระบบซอฟต์แวร์ที่สนับสนุนงานของเอสเอ็มอีในยุคปฏิรูปธุรกิจควรถูกออกแบบให้ทำงานแบบ
Function based แทนที่จะเป็น System based แบบดั่งเดิมเพื่อให้ใช้ง่ายและประหยัด
ควรจะพัฒนากลุ่มฟังชั่นของงานเป็นแบบ Microservices ที่ทำงานบนแฟลตฟอร์ม[3]เพื่อความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนตามความต้องการของลูกค้าที่มีพลวัตรสูงมากตามรายละเอียดที่จะนำเสนอต่อไป
2)
กระบวนการเพื่อการผลิตสินค้า
Servitization
ในเชิงกระบวนการเพื่อบริการลูกค้าหลังการขายต้องเชื่อมโยงกับกระบวนการผลิตสินค้าด้วย
การจะส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพตามความต้องการตามระยะเวลาที่กำหนดด้วยต้นทุนที่ต่ำนั้นต้องเน้นการผลิตที่มีประสิทธิภาพ
(Operation Optimization) ในยุคดิจิทัล
กระบวนการทำงานที่อาศัยเทคโนโลยีเช่น IoT สามารถติดตามผลการผลิตอย่างใกล้ชิดเพื่อนำผลมาปรับปรุงการทำงานของเครื่องจักรให้เหมาะกับสถานการณ์ได้
ด้วยเทคนิคของ Sensors/Actuators โรงงานสามารถปรับการทำงานของเครื่องจักรในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความร้อน
ความเร็ว หรือเปิดปิดการทำงานตามตารางการผลิต
หรือตามปริมาณสินค้าที่ต้องการผลิตในแต่ละช่วงของเวลาได้โดยอัตโนมัติ
ผลที่ได้คือช่วยประหยัดค่าใช้พลังงานได้ Operation
Optimization เป็นเรื่องการใช้ข้อมูลเพื่อจัดการกระบวนการผลิต หรือ Workflow
ด้วยวิธีการติดตามเฝ้าระวังการทำงานทุกขั้นตอนของเครื่องจักรให้สอดคล้องกับแผนการผลิตอย่างใกล้ชิด
นอกจากเรื่อง
Operation Optimization ที่กล่าว
โรงงานยังสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น IoT ช่วยติดตามการทำงานของเครื่องจักรอย่างต่อเนื่องตลอด
24 ชั่วโมง
แล้วใช้ข้อมูลประเมินสถานภาพการทำงานของเครื่องจักร
เพื่อกำหนดช่วงเวลาที่ต้องบำรุงรักษาและซ้อมแซมที่เหมาะสม (Adaptive
Maintenance) แทนการบำรุงรักษาตามกำหนดเวลา
ซึ่งอาจจะสายเกินไปจนเป็นเหตุให้สายการผลิตหยุดชะงัก เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายถึงขั้นกระทบถึงห่วงโซ่อุปทานของลูกค้าด้วย
การทำ Adaptive Maintenance โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลประกอบด้วย
IoT และปรับกระบวนการด้วยระบบซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งผลถึงการบริการลูกค้าที่ปลายน้ำที่สำคัญมาก
3)
กระบวนการในกลุ่ม
Outbound Supply Chain
Outbound Supply Chain เป็นงานที่เกี่ยวกับกระบวนการการจัดหาและจัดส่งสินค้า
ชิ้นส่วนและวัสดุให้ลูกค้าตามจำนวนที่สั่งให้ตรงเวลา แต่เดิม
ธุรกิจให้ความสำคัญกับการจัดการเพื่อสามารถส่งสินค้าให้ลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนและค่าจ่ายด้านจัดเก็บสินค้าและการขนส่ง
แต่ในยุคที่การแข่งขันธุรกิจเปลี่ยนแนวใหม่ตามที่กล่าวข้างต้น
ธุรกิจให้ความสำคัญกับคุณค่า (Value) ของลูกค้า
ให้ลูกค้าสามารถผลิตสินค้าได้อย่างราบรื่นด้วยต้นทุนต่ำ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการกระบวนการทำงานทุกขั้นตอนภายใน
Outbound supply chain จึงเป็นเป้าหมายหลักของการปรับเปลี่ยนภายในกรอบการบริการอย่างน้อยดังนี้
·
กระบวนการจัดการคลังสินค้าเพื่อสามารถจัดส่งสินค้าได้อย่างแม่นยำ
ต้นทุนต่ำและรวดเร็ว
·
ตรวจสอบความถูกต้องของทั้งตัวสินค้าที่จะส่งและเอกสารที่เกี่ยวข้องในช่วง
Pre-shipment processes
·
กระบวนการจัดการเกี่ยวกับเรื่องขออนุญาตส่งออกจากทางราชการและความพร้อมและความถูกต้องของเอกสารที่เกี่ยวข้องในกรณีของการส่งออกไปต่างประเทศ
·
กระบวนการจัดการประสานงานกับผู้ให้บริการด้านขนส่งและโลจิสติกส์
·
กระบวนการจัดการเรื่องเกี่ยวกับการประกันภัย
·
จัดการส่งสินค้าให้ลูกค้าในกรณีเร่งด่วนหรือต้องการสินค้าก่อนกำหนด
จะเห็นได้ว่า
Outbound supply chain เป็นงานที่มีขั้นตอนมาก
เกี่ยวข้องตั้งแต่ได้รับการสั่งซื้อ
ขั้นตอนติดตามการผลิตและการจัดการสินค้าคงคลังเพื่อให้มั่นใจว่ามีสินค้าพร้อมส่งตามเงื่อนไข
ตลอดจนถึงกระบวนการจัดการการส่งสินค้าและบริการเกี่ยวกับโลจิสติกส์ที่มีรายละเอียดค่อนข้างมาก
ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความถูกต้องของข้อมูลในทุก ๆ ขั้นตอน
เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในแต่ละขั้นตอน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการทำงานในแต่ละขั้นตอนอย่างเหมาะจึงเป็นปัจจัยสำคัญ
การทำ Servitization ในเชิงกระบวนการตามที่กล่าวถือได้ว่าเป็นขั้นแรกของการปฏิรูปธุรกิจ
โดยเฉพาะธุรกิจกลุ่มเอสเอ็มอี เป็นการให้บริการหลังการขายในส่วนที่เกี่ยวกับการทำงานของกลุ่มงาน
Order Fulfillment ให้ราบรื่น นอกจากการส่งสินค้าและวัสดุที่ลูกค้าต้องการตรงตามสเปคและตรงเวลาที่ต้องการแล้ว
ยังเป็นการบริการข้อมูลให้ลูกค้าได้ด้วย เพื่อให้บรรลุผลดังกล่าว เอสเอ็มอีต้องปรับปรุงการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัลตลอดห่วงโซ่คุณค่า
(Digitize processes) ทั้งนี้
จะไม่จำกัดอยู่เพียงกลุ่มกระบวนงานของ Order Fulfillment แต่ยังต้องคำนึงถึงกระบวนการทำงานที่ให้เกิด
Operation Optimization ตลอดห่วงโซ่คุณค่าด้วย
จึงจะเรียกได้ว่ามีการปรับเปลี่ยนแนวทางการทำธุรกิจที่เน้นการเสริมบริการลูกค้าหลังการขายเพื่อให้เกิดคุณค่าสูงสุดให้แก่ลูกค้าได้
ถึงแม้การทำ Servitization ระดับนี้จะไม่ก่อเกิดรายได้ใหม่ให้ธุรกิจก็ตาม
แต่ก็เป็นการให้บริการที่มีผลในเชิงสร้างความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือกับลูกค้า
ซึ่งจะนำไปสู่การขยายโอกาสในเชิงธุรกิจระยะยาวต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม
ทักษะและประสบการณ์จากการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแบบบูรณาการตลอดห่วงโซ่คุณค่าตามที่กล่าวจะสามารถนำไปขยายผลในเชิงสร้างรายได้รูปแบบใหม่ดังที่จะบรรยายในหัวข้อต่อไป
[1] อ่านความหมายของ Extrinsic Value จากบทบความ “วิธีปรับเปลี่ยนธุรกิจ
SMEs ในยุคดิจิทัลตอน 3” http://ictandservices.blogspot.com/2017/05/2.html
No comments:
Post a Comment