การปฏิรูปหรือปรับเปลี่ยนธุรกิจไทยจะเอาแบบฝรั่งมาใช้ทั้งหมดคงไม่ได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับความพร้อม
ประเด็นปัญหาที่ต้องการแก้ เป้าประสงค์ของธุรกิจ และที่สำคัญคือวัฒนธรรมของทั้งองค์กรและตัวบุคคล ถึงแม้ในประเทศเดียวกันก็ตาม ยังมีวิธีคิดและวิธีปฏิรูปแตกต่างกัน แต่ สิ่งที่เหมือนกันคือความพยายามนำเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างความแตกต่าง
ประหยัดค่าใช้จ่ายและต้นทุน และสร้างโอกาสจากการเปลี่ยนแนวความคิดให้มีจิตบริการที่ไม่เน้นผลกำไรเป็นที่ตั้ง
แต่นำประโยชน์และคุณค่าของลูกค้าเป็นตัวสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
และเมื่อทำได้ ผลกำไรก็จะตามมา และธุรกิจจะยั่งยืนกว่า ธุรกิจก่อนยุค Industry 4.0 เป็นธุรกิจที่เน้น Single
Bottom Line (SBL) แต่ Industry 4.0 นอกจากเป็นธุรกิจที่เน้นใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าให้สูงขึ้น
แต่ก็ต้องให้เป็นธุรกิจที่เน้น Sustainable Single Bottom Line (SSBL), SBL เน้นผลกำไรและผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นที่ตั้ง
แต่ SSBL เน้น Customer Experience เป็นเป้าหมายหลัก
ผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นรอง การปฏิรูปธุรกิจสู่ Industry 4.0 จึงมีเป้าหมายไม่เฉพาะสร้างสมรรถนะด้านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมแต่ต้องสามารถปรับเปลี่ยนธุรกิจให้เป็น
Sustainable Single Bottom Line (SSBL) กรณีตัวอย่างต่อไปนี้
เป็นโรงงานที่ปรับเปลี่ยนแนวทางการทำธุรกิจจากวิธีเดิมไปสู่ Sustainable Single Bottom Line ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม
ประเด็นปัญหาของธุรกิจ
บริษัทขนมไทยจำกัด หรือ ขนมไทย โดยย่อ (บริษัทสมมุติ) เป็นโรงงานทำขนมหลากหลายชนิดส่งจำหน่ายทั่วประเทศ
มียอดจำหน่ายปีหนึ่งประมาณหนึ่งพันล้านบาท
ถือเป็น SME ขนาดใหญ่ ร้อยละ 70 ทำผ่านกลุ่ม Superstores
ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ส่วนที่เหลือจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน
ผู้บริหารเริ่มกังวลด้านผลกำไร เพราะการจำหน่ายสินค้าผ่าน Superstores มีกำไรต่ำมาก เพราะถูกกดราคาลงอยู่เรื่อย ๆ
ถึงจุดที่แทบจะไม่มีกำไรเลย
จะไม่ผ่านร้านค้าใหญ่กลุ่มนี้ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีวิธีอื่นที่จะระบายสินค้าจำนวนมากได้ดีเท่า
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะคงรูปแบบธุรกิจเช่นปัจจุบันก็ไม่ได้เพราะไม่ยั่งยืน
ผู้บริหารขนมไทยต้องหาทางออก และต้องทำอย่างรวดเร็ว
ทางหนึ่งที่พอเป็นไปได้คือขายตรงไปยังกลุ่มร้านค้าปลีกเล็ก
ๆ หรือร้านค้าชาวบ้านที่กระจายอยู่ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล และทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ สำรวจแล้วพบว่ามีกว่าสี่แสนราย
แต่การจำหน่ายสินค้าตรงไปยังกลุ่มร้านค้าย่อยนี้มีประเด็นปัญหาหลายอย่างที่เป็นความเสี่ยงของธุรกิจ
เช่น
·
บริษัทต้องจัดหารถจำหน่ายสินค้าเพื่อนำสินค้าไปส่งตามร้านค้าย่อย
และขายเป็นเงินสด เนื่องจากการขายเงินเชื่อมีต้นทุนสูงและมีความเสี่ยงเรื่องหนี้สูญสูงมาก
การบริหารจัดการรถขายตรงจำนวนมากทำได้ค่อนข้างยาก
ถ้าไม่มีระบบควบคุมที่ดีจะทำให้ต้นทุนสูงจนถึงขั้นไม่คุ้มค่า หรือมิฉะนั้นก็ต้องขายผ่านร้านตัวแทนในภูมิภาค
ในกรณีหลังนี้ บริษัทก็ขาดอำนาจในการควบคุมและชี้นำในเชิงตลาด
การแข่งขันกับสินค้าแบรนด์อื่นทำได้ยากกว่า
·
ร้านค้าย่อยเฉลี่ยขายได้วันละประมาณ
3,000-5,000 บาท
และจะรับซื้อสินค้าเพิ่มเติมเพื่อจำหน่ายในแต่ละวันตามปริมาณเงินสดที่มี ถ้ารถส่งสินค้าเกิดหลงทาง หรือไม่มีสินค้าจะส่ง
หรือร้านค้าย่อยไม่มีเงินหมุนเวียนที่จะซื้อสินค้า ก็จะเสียโอกาสขาย ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่า
·
รถจำหน่ายสินค้าต้องเบิกสินค้าแต่ละวันให้ได้ชนิดและปริมาณที่ใกล้เคียงกับความต้องการของร้านค้า
มิฉะนั้นร้านค้าก็จะไม่ซื้อสินค้าเข้าร้านเต็มกำลังความสามารถ ทำให้บริษัทไม่ได้ยอดขายเท่าที่ควร
·
บริษัทต้องมีมาตรการควบคุมเงินสดที่ขายได้ในแต่ละวันจากรถจำหน่ายสินค้า
เพราะมีบ่อยครั้งที่คนขับซึ่งเป็นคนจำหน่ายสินค้าอาจยักยอกเงินไม่ส่งเงินสดที่ขายสินค้าได้ตามกำหนด
การบริหารเงินสดรายวันจากรถขายสินค้าจำนวนมากไม่ให้ตกหล่นนั้นเป็นงานที่ท้าทายมาก
·
ธุรกิจทำขนมมีการแข่งขันสูง
การผลิตและขายตรงสู่ร้านค้ารายย่อยมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายสูง
จึงจำเป็นต้องมีมาตรการขวบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพื่อให้ยังคงผลกำไรในอัตราส่วนที่พอรักษาธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคง
บริษัทจำเป็นต้องมีมาตรการแก้ไขประเด็นปัญหาที่กล่าวข้างต้น
โดยอาศัยแนวคิดการปรับเปลี่ยนธุรกิจบนพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
ยุทธศาสตร์ใหม่นี้จะยั่งยืนได้ต้องไม่เพียงแค่ส่งสินค้าจำหน่ายให้ร้านค้าในแต่ละวันเท่านั้น
ยังต้องมีวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาให้ร้านค้าให้มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย (Customer Experience และ Customer
Value Creation) ให้ร้านค้าย่อยทั่วประเทศมีกำไรและเพิ่มโตไปพร้อมกัน
แนวทางปรับเปลี่ยนธุรกิจของบริษัทขนมไทยจำกัด
บริษัทขนมไทยจำกัดตัดสินใจเลือกแก้ปัญหาและพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ด้วยแนวคิดของ
Value Creation โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตาม
Digital Business Transformation Framework ดังนี้
1.
ขั้นที่
1: Vertical Integration
สถานภาพการใช้ไอซีทีของบริษัทขนมไทยปัจจุบันอยู่ในขั้นเริ่มทำ
Vertical
Integration ประกอบด้วยระบบหลักได้แก่ ระบบ Enterprise Resource Planning (ERP)
และ Manufacturing Execution System (MES) แบบง่าย
ๆ โดยระบบ ERP บันทึกรายการขายและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับการขาย การซื้อ
ค่าใช้จ่ายด้านคนงานและบุคลากร สามารถทำการวางแผนการผลิต
และนำไปสู่การทำแผนใช้วัสดุเพื่อการผลิต (Material Requirement Planning) บริษัทเริ่มใช้ระบบ Manufacturing Execution System เพื่อติดตามเฝ้าระวังกระบวนการผลิตจากต้นน้ำสู่กลางน้ำลักษณะกึ่งเรียวไทม์
และสามารถควบคุณการใช้วัสดุ การจัดการแรงงาน การบำรุงรักษาเครื่องจักรหลัก ๆ
ได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์มาก เนื่องจากการบูรณาการยังไม่สมบูรณ์
ข้อมูลเพื่อการจัดการก็ยังไม่สมบูรณ์ บริษัทยังมีปัญหาในเรื่องต้นทุนการผลิตที่เก็บไม่ครบถ้วนและยังไม่ถูกต้องนัก
การจัดการวัสดุคงคลังก็ยังขาดบ้างเกินบ้าง วัสดุที่ซื้อมากเกินความจำเป็นยังค้างสะต๊อกจนบ่อยครั้งต้องแทงจำหน่ายเป็นของเสียไปก็ไม่น้อย
บริษัทขนมไทยเริ่มโครงการใช้ Internet of Things (IoT) เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน
หวังที่จะควบคุมและลดค่าใช้จ่าย โดยเริ่มต้นติดตั้งอุปกรณ์ IoT และระบบซอฟต์แวร์ควบคุมด้านเปิดปิดการทำงานของอุปกรณ์และเครื่องจักรในจังหวะที่ไม่ใช้งาน
และกลับมาเดินเครื่องปกติแบบอัตโนมัติ และใช้ IoT ช่วยงานด้าน
Preventive maintenance เพื่อให้อุปกรณ์และเครื่องจักรทุกตัวทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
สามารถแจ้งเหตุผิดปกติให้ผู้ควบคุมโรงงานรู้ล่วงหน้าก่อนที่อุปกรณ์และเครื่องจักรจะเกิดปัญหาจนเป็นเหตุให้สายการผลิตต้องหยุดชะงักได้
ขนมไทย ให้ความสนใจใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยปรับปรุงการเชื่อมโยงระบบหลัก
ๆ ให้ข้อมูลจากแต่ละระบบที่ทำงานเป็นอิสระรวมกันเป็น
Integrated Database เพื่อสามารถจัดการข้อมูลขององค์กรให้เป็นภาพรวมอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังเริ่มพัฒนา Mobile apps ให้ผู้บริหารเข้าถึงระบบข้อมูล โดยเฉพาะต้นทุนสินค้าได้ด้วยตนเองอย่างง่าย
ๆ ทุกเวลา และมีระบบแจ้งเหตุ (Notification) ในเหตุการณ์สำคัญ
ๆ แบบเรียวไทม์จากหน่วยงานหลัก เช่นฝ่ายการผลิต ฝ่ายบริหารวัสดุคงคลัง ฝ่ายบริหารลูกหนี้รายใหญ่
ฯลฯ
2.
ขั้นที่
2: Horizontal Integration
บริษัทขนมไทยให้ความสนใจที่จะเชื่อมโยงกับโลกภายนอกมากขึ้น การเชื่อมโยงกับพันธมิตรผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล
เปลี่ยนแนวทางการทำธุรกิจจาก Closed System เป็น Open System น่าจะช่วยแก้ปัญหาระยะยาวที่กล่าวข้างต้นได้
ผู้บริหารตัดสินใจปรับรูปแบบระบบ Order Fulfillment ที่บริการกลุ่ม
Superstore ด้วยการรับใบสั่งซื้อแบบออนไลน์
และปรับเปลี่ยนมาใช้ e-Invoice และ e-Payment ที่เป็น Electronic transaction แบบมาตรฐานเพื่อลดต้นทุน
นอกจากนี้ยังเตรียมที่จะปรับระบบให้ใช้ใบกำกับภาษีตามมาตรฐานที่ประกาศโดยกรมสรรพกรในทันทีที่กรมสรรพกรพร้อมที่เปิดให้บริการ
ภายหลังจากได้ปรับเปลี่ยนระบบ
Order Fulfillment แบบออนไลน์ร่วมกับกลุ่ม Superstores
แล้ว บริษัทเตรียมจะขยายการทำธุรกรรมออนไลน์กับ Suppliers และคู่ค้าอื่น ๆ เป็นการขยายผลการทำ Horizontal Integration ตลอดห่วงโซ่คุณค่า การปรับกระบวนการทั้งหมดนอกจากเน้นการลดต้นทุนในระยะแรก
ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้มีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลรองรับการปรับเปลี่ยนธุรกิจที่เน้นการสร้างคุณค่าให้ลูกค้า
(Customer Value Creation) ต่อไป การทำ Horizontal
Integration นี้เริ่มด้วยระบบงานหลัก ๆ เช่นระบบที่เกี่ยวกับการบริการ
Online Replenishment ระบบที่ทำงานร่วมมือกับโรงงานอาหารอื่นในการ
Optimize ระบบโลจิสติกส์เชื่อมโยงกับ Distribution
Centers และคลังสินค้าที่กระจายอยู่ทั่วประเทศของแต่ละโรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ
เกิดการประหยัดให้แก่ทุกโรงงานที่อยู่ในเครือข่าย แต่ทั้งนี้บริษัทจะต้องปรับปรุงระบบคลังสินค้าให้มีความ
Smart มากขึ้นโดยใช้ RFID และระบบ Robotics
ช่วยในการกำหนดตำแหน่งสินค้าและการขนสินค้าขึ้นรถด้วยระบบอัตโนมัติ
3.
ขั้นที่
3: Servitization
ขั้นที่ 1 และขั้นที่
2 ที่กล่าวข้างต้นเป็นการ Digitize กระบวนการทำงานทั้งระดับ
Vertical Integration และ Horizontal
Integration เพื่อให้ระบบงานภายในบริษัทมีประสิทธิภาพ
เน้นที่ลดต้นทุนและร่วมมือกับพันธมิตรซึ่งจำเป็นถ้าธุรกิจต้องการปรับเปลี่ยนให้ธุรกิจที่มีทักษะด้าน
Value Creation เป็นจุดเริ่มต้นที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจาก
Product-centric เป็น Customer-centric
เนื่องจากบริษัทขนมไทยตั้งใจที่จะลดการพึ่งพากลุ่ม Superstores และหันมาสร้างธุรกิจจากกลุ่มร้านค้าย่อยทั่วประเทศที่มีผลตอบแทนสูงกว่า
การสร้างกลยุทธ์เพื่อให้เกิด Customer value แก่กลุ่มร้านค้าย่อยจึงเป็นปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จ
ประกอบด้วย
·
เพิ่มจำนวนรถแวน
(Van) นำสินค้าไปขายตรงตามร้านค้าย่อย กลยุทธ์นี้ถือได้ว่าเป็นการบริการขายถึงที่เพื่อเติมสินค้าเป็นรายวัน
·
บริษัทได้รับอนุญาตจากกรมสรรพกรให้ใช้เครื่อง
Mobile POS
ต่อออนไลน์กับระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักงานใหญ่ เพื่อออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ณ
จุดขายได้ รายการขายทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลกลางของบริษัทผ่านอินเทอร์เน็ตไร้สาย
·
บริษัทจะทำรายงานวิเคราะห์การขายของแต่ละร้านค้า
เพื่อแนะนำการสะต๊อกสินค้ากลุ่มที่ขายดีและกำไรดี เพื่อให้ร้านค้าย่อยมีกำไรสูงสุด
สำหรับกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ คือกลุ่ม Superstores นั้น บริษัทยังเสนอบริการผลิตสินค้า
OEM ตีตราของ Superstore เองด้วย
อีกทั้งบริการร่วมออกแบบสินค้ารวมทั้งการออกแบบ Packing ตามความต้องการของ
Superstore ทั้งหมดสามารถทำงานร่วมกันผ่านระบบออนไลน์ได้
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการให้บริการแบบ Mass Customization ที่เป็น
Customer value อย่างแท้จริง
4.
ขั้นที่
4: Customer Experience
ขั้นที่ 4 นี้เป็นเป้าหมายหลักของการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจใหม่โดยอาศัยความสามารถของเทคโนโลยีดิจิทัล
เป็นแนวคิดของธุรกิจที่พยายามจะสร้างข้อเสนอ (Value Proposition) ที่จะตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้จริง ธุรกิจได้เรียนรู้ปัญหาของลูกค้าแต่ละรายและหามาตรการที่จะช่วยแก้ไขปัญหาของลูกค้าที่แตกต่างกันได้
จากกรณีตัวอย่างนี้ ปัญหาหลัก ๆ (Pains) ของลูกค้ามีดังนี้
1)
ร้านค้าย่อยมีเงินสดจำกัดในการสั่งซื้อสินค้าเพื่อจำหน่ายในแต่ละวัน
หน้าที่ของบริษัทต้องจัดสินค้าที่ชาวบ้านต้องการจริงมาเติมเต็มเพื่อให้ร้านค้าย่อยมีสินค้าขายไม่ขาดมือไม่ทำให้ร้านค้าเสียโอกาส
2)
ร้านค้าย่อยขาดเงินหมุนเวียน
บ่อยครั้งมีเงินสดไม่เพียงพอที่จะซื้อสินค้าเข้าร้านตามความต้องการ
ทำให้ไม่มีสินค้าขาย การช่วยให้เกิด Customer
value ในบริบทนี้คือหามาตรการที่จะทำให้ร้านค้าย่อยมีเงินหมุนเวียนซื้อสินค้าเข้าร้านที่หลากหลายชนิดเพิ่มขึ้น
ในขณะเดียวกันธุรกิจของบริษัทขนมไทยเองก็ยังสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง
การแก้ Pains ที่กล่าวให้ร้านค้าย่อยได้
บริษัทต้องมี Value Propositions ที่แก้ปัญหาได้ตรงเป้า
จึงจะเกิด Customer Experience ที่แท้จริงและทำให้บริษัทขนมไทยเปลี่ยนจากการพึ่งพากลุ่ม
Superstores มาเป็นธุรกิจที่ร่วมมือกันกับกลุ่มร้านค้าย่อยซึ่งเป็นลูกค้าสำคัญร่วมกับพันธมิตรธุรกิจอื่น
ๆ สร้างคุณค่าร่วมกัน
มาตรการนี้นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้แก่กลุ่มร้ายค้าย่อย ยังทำให้ธุรกิจได้กำไรมากกว่าและยั่งยืนกว่า
บริษัทขนมไทยจะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ที่เน้น Value
Creation ดังนี้
1)
ใช้ระบบ
GPS ติดรถ VAN ขายสินค้าทุกคัน
เพื่อใช้นำทางคนขับรถแวนไม่ให้หลงทาง หลีกเลี่ยงความสูญเสียโอกาสทางธุรกิจแก่ทั้งบริษัทและร้านค้าย่อย
2)
ใช้ระบบสื่อสังคมเช่น
LINE เป็นเครื่องมือสำหรับทำ Pre-order เพื่อให้บริษัทจัดสินค้าได้ตามความต้องการจริง การทำ Pre-order ทำได้ทั้งระดับลูกค้าของร้านค้าย่อยและระดับร้านค้าย่อยเอง ซึ่งจะช่วยให้บริษัทจัดสินค้ามาบริการตรงตามความต้องการ
ลดโอกาสสูญเสียรายได้จากสินค้าขาดมือได้
3)
บริษัทช่วยวิเคราะห์การขายรายวันของแต่ละร้านค้า
นำเสนอข้อมูลนี้ให้ธนาคาร ซึ่งจะรู้ระดับการขายและการเคลื่อนไหวของเงินสดในระดับร้านค้า ผลการขายรายวันทำให้ธนาคารรู้ผลประกอบการของแต่ละร้าน
อีกทั้งรับรู้รายได้เฉลี่ยและกระแสเงินสดหมุนเวียนในแต่ละวัน ธนาคารใช้ข้อมูลนี้ประกอบการพิจารณาให้สินเชื่อระยะสั้นเป็นเงินหมุนเวียนซื้อสินค้าเข้าร้านในปริมาณที่ใกล้เคียงความเป็นจริงของธุรกิจ
ทำให้ร้านค้ามีโอกาสขายสินค้าได้เต็มที่
4)
ด้วยความสามารถของระบบดิจิทัล
ธุรกิจสามารถเชื่อมโยงกับโรงงานผลิตอาหารอื่น ๆ
รถส่งสินค้าของบริษัทสามารถแวะรับสินค้าของโรงงานอื่นมาร่วมจำหน่ายให้แก่ร้านค้าย่อยได้
ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ทั้งร้านค้าย่อยที่มีสินค้าจำหน่ายหลากหลายเพิ่มขึ้น
เป็นหนทางที่จะช่วยเพิ่มรายได้ สำหรับบริษัทขนมไทยเองก็สามารถเพิ่มรายได้จากสินค้าของพันธมิตร
ส่วนโรงงานของพันธมิตรก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องลงทุน
เป็นรูปแบบธุรกิจเครือข่ายที่มีแต่ผู้ได้อย่างแท้จริง
กรณีตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น ถือได้ว่าเป็นการปฏิรูปธุรกิจจาก Closed Business เป็น Open Business และจาก Product-centric เป็น Customer-centric
โดยธุรกิจจะมุ่งเน้นที่ Customer
value โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัล การทำ Vertical Integration และ Horizontal Integration ทำให้เราได้ข้อมูลหลากหลายในโลกดิจิทัลและถูกนำมาปรับปรุงและปรับเปลี่ยนธุรกิจตามยุทธศาสตร์ใหม่
ในด้านหนึ่ง ทำให้การทำงานตลอดห่วงโซ่คุณค่ามีความ Smart ขึ้น
และในอีกด้านหนึ่ง ข้อมูลในโลกดิจิทัลจะสนับสนุนให้ธุรกิจสร้าง Customer
value ให้ลูกค้าตามที่แสดงในรูปที่ 1
รูปที่ 1 แสดงระบบ Cyber-Physical
System ตามแนวคิดของ Industry 4.0
ตามแนวความคิดนี้
ธุรกิจจะมีลักษณะของธุรกิจที่อยู่ในโลกสองใบ คือโลกดิจิทัลและโลกกายภาพ
ที่นิยมเรียกว่าเป็นธุรกิจแบบ Cyber-Physical
System ภายในโลกดิจิทัล เป็นที่อยู่ของ Digital services ที่อาศัย Digital assets มีเป้าหมายทำให้การทำงานในโลกกายภาพมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น (Smarter) นอกจากนี้ Digital services ที่อาศัย Digital
Assets ทำให้ลูกค้าได้ Experience จากการช่วยให้ลูกค้าได้คุณค่าจากสินค้าและบริการที่ได้ซื้อไปจริง
ธุรกิจจะไม่ถือว่าเป็น Digital Business ถ้าใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเพียงเพื่อประสิทธิภาพการทำงานของธุรกิจ
ความเป็น Digital Business หมายถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้เกิด
Customer Value ตัวอย่างข้างต้นอธิบายแนวคิดและแนวทางการดำเนินการเพื่อให้ธุรกิจปรับเปลี่ยนตัวเองสู่
Value Creation เพื่อสร้าง Customer Value ให้ลูกค้า ตัวอย่างที่ช่วยแก้ปัญหาให้ร้านค้าย่อยถือว่าเป็น Digital
Services ที่ทำให้เกิด Extrinsic value ถ้าบริษัทขนมไทยสามารถสร้างนวัตกรรม
Digital Services ที่ทำให้เกิดความหลากหลายของ Extrinsic
value ที่เป็นประโยชน์ต่อร้านค้าย่อยได้อย่างไม่สิ้นสุด
จะทำให้บริษัทคู่แข่งแข่งขันได้ยาก สุดท้าย
คู่แข่งเดิมมีโอกาสจะหันกลับมาเป็นพันธมิตรเพื่อร่วมสร้างธุรกิจเพื่อเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย
และนี่คือความหมายของ Value Co-creation
ที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในยุคดิจิทัล
ขอบพระคุณค่ะอาจารย์
ReplyDeleteสื่อภาพรวมได้ออกมาได้ชัดเจนมากครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ
ReplyDelete