What, Why, and How of Digital Business Transformation
ทุกวันนี้เราได้ยินจนชินหูว่ายุคนี้เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลง
รัฐบาลก็บอกพวกเราว่าประเทศไทยต้องปฏิรูปในทุก ๆ ด้านเพื่อให้ก้าวทันโลก
และต้องพัฒนาให้ไปสู่เป้าหมาย คือให้ประเทศไทยเป็นประเทศไทย 4.0 ที่พวกเรายังงงอยู่ว่าคืออะไร ต้องเปลี่ยนอะไร ทำไมต้องเปลี่ยน และถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนจะให้
เริ่มที่จุดไหน และใครเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่ประจักษ์ในทุกวันนี้
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดคือระบบนิเวศธรรมชาติที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
โลกทุกวันนี้ร้อนมากขึ้น ดินฟ้าอากาศทั่วโลกผันผวนมากขึ้น ด้านสังคมเองก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่
ที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จนถึงการแข่งขันทางธุรกิจที่เริ่มเปลี่ยนทิศทาง ปรากฏการณ์อย่างเช่น Uberization บอกถึงการปรับเปลี่ยนอย่างรุนแรง (Disruptive
change) ที่ได้เกิดขึ้นกับธุรกิจและกำลังเกิดขึ้นอีกในลักษณะคล้ายคลึงกันรอบด้าน
Uber เป็นรูปแบบธุรกิจใหม่ที่ถูกพัฒนาให้บริการรถเช่าแท็กซี่และรถเช่าประเภทอื่น
ๆ ที่ได้รับความนิยมจากผู้โดยสารและผู้ใช้บริการอย่างมากทั่วโลกจนถึงขั้นจะทำให้รูปแบบของธุรกิจบริการรถเช่าแบบเดิมคงอยู่ต่อไปได้ยาก
มีธุรกิจรูปแบบใหม่ในแนวเดียวกับ Uber เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และได้รับการสนับสนุนจากผู้รับบริการอย่างอบอุ่นเนื่องจากเป็นการบริการที่สามารถสร้างคุณค่าและความพึงพอใจแก่ผู้บริโภคอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พัฒนาการของเทคโนโลยี
โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Technology) ถูกยกเป็นสาเหตุหนึ่ง และเป็นสาเหตุสำคัญของการเปลี่ยนแปลง
ทุกครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเช่นทุกวันนี้ ธุรกิจที่ปรับตัวรับสถานการณ์ได้ทันก็จะเจริญเติบโตไป ธุรกิจที่ปรับไม่ทันก็จะหายสาบสูญ ประวัติศาสตร์บอกเราว่า
ในทุกยุคทุกสมัย อุตสาหกรรมไม่ได้เจริญเติบโตด้วยตัวมันเอง แต่เกิดจากกลุ่มคนที่มีวิสัยทัศน์
กล้าคิดสร้างสรรค์ และกล้าคิดนอกกรอบจนกลายเป็นนวัตกรรมผลักดันให้อุตสาหกรรมนั้น ๆ
หรืออุตสาหกรรมใหม่เจริญเติบโตได้ ธุรกิจใดที่คิดว่าตัวเองยังปลอดภัยอยู่ภายใต้ความสำเร็จของอดีตได้
และเข้าใจว่าตนเองจะยังคงเติบโตต่อไปได้โดยไม่จำเป็นต้องกังวลกับการเปลี่ยนแปลง
กว่าจะรู้ตัวก็มักจะสายเกินแก้
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากอิทธิพลของดิจิทัลครั้งใหม่นี้
นอกจากเป็นความสามารถของการสร้างนวัตกรรม ยังเปลี่ยนตรรกะหรือแนวคิดการทำธุรกิจใหม่
(New Business Logic) เทคโนโลยีดิจิทัลไม่เพียงช่วยให้บุคคลและองค์กรทำงานมีประสิทธิภาพ แต่ยังสนับสนุนการสร้างสรรค์รูปแบบของธุรกิจใหม่ รูปแบบของตลาดใหม่ และการออกแบบสินค้าและบริการใหม่ ในเชิงตรรกะของธุรกิจนั้น
ธุรกิจจะไม่เพียงจัดการกับห่วงโซ่คุณค่าเพื่อผลิตสินค้าสู่ตลาด (Outflow of
products) เหมือนในอดีต แต่ยังให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับลูกค้าให้เกิดคุณค่าร่วมกัน
(Customer
inflow)
ตรรกะใหม่ของธุรกิจนี้จำเป็นต้องมีกรอบความคิดใหม่ (New frame of
thinking) และแนวคิดการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเวทีการค้าสำคัญที่พร้อมจะให้ธุรกิจแข่งขันได้ในระดับโลกได้อย่างยั่งยืน
นักเศรษฐกิจดัง ๆ หลายท่านมีความเห็นตรงกันว่า ตรรกะทางธุรกิจ
(Business logic) ของศตวรรษที่ 21 จะไม่เหมือนของศตวรรษที่ 20 อย่างแน่นอน การเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และจะเกิดอย่างรุนแรง Umair
Haque นักเศรษฐศาสตร์ระดับต้น
ๆ ของโลกเป็นคนหนึ่งที่ให้ความเห็นในเรื่องนี้ และได้กล่าวในบล็อก HBR
เรื่อง “A User's Guide to 21st
Century Economics[1]”
ว่า ธุรกิจของพรุ่งนี้จะไม่เหมือนของวันนี้ แนวคิดธุรกิจของศตวรรษที่ 20 ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้กับระบบเศรษฐกิจของศตวรรษที่ 21
เพราะเป็นธุรกิจที่สร้างอยู่บนพื้นฐานการส่งเสริมให้บริโภคเกินความจำเป็น
ผลผลิตทุกชนิดมีราคาต่ำเกินความเป็นจริง ใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย
เกิดเป็นผลขาดทุนสะสมที่กลายเป็นหนี้สังคมที่ชนรุ่นหลังต้องร่วมรับผิดชอบ
จึงเป็นธุรกิจที่ไม่สร้างสรรค์และไม่ยั่งยืนอีกต่อไป ทรัพยากรธรรมชาติถูกใช้อย่างสิ้นเปลืองจนเป็นอันตรายอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อมตามที่รู้กัน Haque ยังกล่าวในหนังสือเรื่อง “The New Capitalist
Manifesto: building a disruptively better business” ว่า ระบบทุนนิยม และภาคอุตสาหกรรมแบบเดิมเริ่มส่อเค้าให้เห็นชัดเจนว่าไม่ยั่งยืน
และไม่ต้องสงสัยว่าได้ดำเนินมาถึงสุดทางแล้ว ถ้าศึกษาให้ดีจะเข้าใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มหยุดชะงักมากว่าครึ่งศตวรรษ
ให้ผลตอบแทนน้อยลงทุกวัน และยากที่จะแข่งขันได้อีกต่อไป
ธุรกิจที่ปรับกลยุทธ์และทิศทางไม่ทัน หรือไม่ยอมเปลี่ยนแนวคิดการทำธุรกิจใหม่จะคงอยู่ต่อไปได้ยาก
แนวคิดของภาคอุตสาหกรรมแบบเดิมให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลทั้งการผลิต
และการตลาด ด้านการผลิตก็ พยายามผลิตสินค้าคุณภาพดีจำนวนมาก
ๆ ทำให้เกิดการประหยัดจากขนาดของธุรกิจ
เพื่อให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง จากนั้นก็หามาตรการทางตลาดให้ผลผลิตจำนวนมหาศาลนั้นถูกจำหน่ายไปสู่ผู้บริโภคให้มากที่สุดโดยไม่คำนึงว่าผู้บริโภคจะได้ประโยชน์หรือคุณค่าที่แท้จริงหรือไม่ ธุรกิจแข่งขันกันแบบยัดเหยียดให้ผู้บริโภคด้วยวิธีทุ่มเงินมหาศาลโฆษณาสินค้า
ลงเอยด้วยวิธีตัดราคา ทั้งลด ทั้งแถม ให้ใช้ก่อนจ่ายทีหลังด้วยระบบเครดิต
จนในที่สุดสินค้าเกือบทุกชนิดที่ผลิตสู่ตลาดจำนวนมหาศาลเริ่มขาดความแตกต่างจากสินค้าของคู่แข่ง
ราคาถูกกำหนดจากความต้องการของตลาด เมื่อสินค้าล้นตลาด
ราคาก็ถูกกดให้ต่ำลงตามกลไกตลาดซึ่งมีสภาพไม่แตกต่างจากสินค้าทางเกษตร (Commodity)
และซื้อขายกันโดยไม่สนใจแบรนด์ เมื่ออุปทานมากกว่าอุปสงค์ พ่อค้าก็มักจะขายขาดทุน
นักเศรษฐศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Commoditization” ซึ่งหมายถึงกระบวนการที่สินค้ามีคุณลักษณะที่แตกต่างกัน
แต่ในสายตาของตลาดหรือผู้บริโภค มองเป็นสินค้าพื้น ๆ ที่ไม่แตกต่างกัน แนวคิดของนักอุตสาหกรรมแบบเดิม
สุดท้ายนำธุรกิจของตัวเองสู่กับดัก (Commodity trap) ของตนเอง
เพื่อหลุดพ้นจากกับดักนี้ ธุรกิจต้องส่งเสริมการสร้างคุณค่า (Value
creation)ให้แก่ผู้บริโภค
และเปลี่ยนกลยุทธ์ที่จะทำธุรกิจอย่างสร้างสรรค์ที่จะก่อเกิดประโยชน์ต่อชุมชน
และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ธุรกิจชั้นนำระดับโลกจำนวนหนึ่ง เริ่มปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์อย่างน่าสนใจ รายงานของไนกี้ (Niki)[2] ที่เสนอยุทธศาสตร์ต่อสาธารณชนเมื่อหลายปีก่อน
ใจความตอนหนึ่งว่า ไนกี้กำลังเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจใหม่เพื่อเตรียมรับมือกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
เนื่องจากเห็นว่า
ทรัพยากรธรรมชาติเริ่มลดน้อยลง
รูปแบบธุรกิจเดิมที่สร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมต้องมีการแก้ไข
ผู้บริโภคเริ่มเรียกร้องสินค้าและบริการที่มีคุณค่ามากขึ้น
จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องกำหนดวิสัยทัศน์ขององค์กรใหม่โดยเน้นการพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืนบนพื้นฐานการสร้างคุณค่าและใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ประหยัด แทนที่จะมุ่งพัฒนาสินค้าที่แตกต่างจากคู่แข่งเหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติ
ไนกี้หันมาดำเนินกลยุทธ์ที่แตกต่างแทน ผลที่เกิดขึ้น
นอกจากออกแบบสินค้าให้ใช้วัสดุและปรับกระการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ในส่วนสร้างคุณค่าให้ลูกค้า
ไนกี้ยังเปิดตัวเว็บไซท์ Niki+
สนับสนุนและส่งเสริมให้พลเมืองโลกเป็นนักกีฬาและนักออกกำลังกายที่มีคุณภาพ
เน้นสร้างคุณค่าจากการเล่นกีฬาและรักษาสุขภาพอย่างถูกวิธี Niki+ เป็นเครือข่ายสังคมที่อาศัยพลังของกลุ่มลูกค้าร่วมทำให้ลูกค้าของไนกี้เป็นนักวิ่งและนักกีฬาที่มีคุณภาพ
ที่สำคัญไนกี้ยังได้เริ่มโครงการ Nike MSI (Materials
Sustainability Index) เป็นเครื่องมือแนะนำออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรีไซเคิลได้
แนวคิดใหม่ของไนกี้เห็นชัดเจนว่า
มุ่งมั่นที่จะร่วมสร้างประโยชน์และคุณค่าให้แก่ลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อม
แทนกลยุทธ์รูปแบบเดิมที่มุ่งผลิตสินค้าเพื่อขายให้มาก ๆ
โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าที่แท้จริงของผู้บริโภค และผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยรวม
วอล-มาร์ท (Walmark) ห้างค้าปลีกใหญ่ที่สุดในโลกของสหรัฐอเมริกา
ยอดขายอยู่ที่ประมาณ 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มีร้านค้ากระจายอยู่ทั่วโลกรวมประมาณกว่า
9,000
แห่ง วอล-มาร์ทเป็นผู้นำสำคัญอีกรายหนึ่งในด้านเปลี่ยนแปลงแนวคิดการทำธุรกิจใหม่ของศตวรรษนี้อย่างมาก[3]
รองนึกภาพดูว่าถ้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่หลากหลายจำนวนมหาศาลที่จำหน่ายให้ลูกค้าทั่วโลกนั้นยังคงใช้วัสดุทั้งสารเคมี
วัสดุที่ย่อยสลายได้ยาก วัสดุที่เป็นผลผลิตของน้ำมัน พลาสติก
ผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของผงซักล้าง และอื่น ๆ อีกมาก วัสดุอันเป็นพิษจำนวนมหาศาลเหล่านี้
ถ้ายังคงนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง จะสร้างปัญหาให้แก่สิ่งแวดล้อมรุนแรงเพียงใด
ปัญหานี้ถ้ายังไม่ถูกแก้ไข
จะมีผลกระทบที่เลวร้ายต่อไปชั่วลูกชั่วหลานอย่างไม่สิ้นสุด วอล-มาร์ท ตัดสินใจเข้ามารับผิดชอบเพื่อแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
ในเบื้องต้น อาศัยขนาดใหญ่ของธุรกิจประกาศขอความร่วมมือกึ่งบังคับ ให้เจ้าของสินค้าลดขนาดของกล่องบรรจุให้เล็กลงและให้หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
วอล-มาร์ทจะปฏิเสธรับสินค้าที่ไม่ตรงตามคุณลักษณะใหม่ นอกจากนี้
วอล-มาร์ทยังนำดรรชนีวัดระดับการสร้างปัญหาให้สิ่งแวดล้อมจากวัสดุที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ โดยได้รับความร่วมมือจากองค์กรอิสระและ NGO
ที่ทำงานเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อม The
Sustainability Consortium (TSC) ให้ผู้บริโภคใช้เป็นแนวทางพิจารณาตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า
ซึ่งเป็นแนวความคิดใหม่ที่น่าชื่นชม
เพราะเน้นกลยุทธ์ที่คำนึงถึงคุณค่าและประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง ลูกค้านอกจากจะบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพในราคาถูกแล้ว
ยังมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อการสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่
และร่วมกันลดมลภาวะที่เป็นอันตรายต่อชุมชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ยังมีธุรกิจชั้นแนวหน้าอีกจำนวนมากที่ให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนแนวคิดการทำธุรกิจ
หรือตรรกของธุรกิจ (Business logic) ใหม่ เน้นการสร้างคุณค่าและประโยชน์ (Value
creation) ให้แก่ทั้งผู้บริโภค แก่สังคม
และแก่สิ่งแวดล้อม แทนที่จะมุ่งพัฒนาศักยภาพการผลิตและการบริหารธุรกิจโดยหวังผลกำไรแต่เพียงอย่างเดียว
ธุรกิจเหล่านี้เริ่มหันมาสนใจปรัชญาธุรกิจบนพื้นฐานที่มีแต่ผู้ได้ และไม่มีผู้เสีย
เรียกเรียกปรัชญานี้ว่า “Positive sum game”
หรือ “Win-win” แทนแนวความคิดเดิมที่ดำเนินธุรกิจเพื่อให้มีแต่ส่วนได้
และปล่อยให้ส่วนเสียตกแก่ผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่เรียกว่า “Zero
sum game” หรือ “Win-lose”
ซึ่งอย่างหลังนี้ ได้เริ่มพิสูจน์ให้ประจักษ์แล้วว่าไม่มีความยั่งยืนอีกต่อไป
ธุรกิจใหม่ที่มีแนวคิดใหม่นอกจากเน้นการสร้างคุณค่าตามตัวอย่างที่กล่าวข้างต้น
ยังต้องคำนึงถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานขององค์กรเพื่อเน้นการสร้างคุณค่าด้วยบริการที่ประทับใจ
และให้ลูกค้าได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ดีด้วย
ซึ่งหมายถึงพัฒนาการทักษะเพื่อการสร้างนวัตกรรมระบบบริการ
หรือรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ อย่างที่ไม่เคยเห็นในศตวรรษก่อน ตัวอย่างที่ดี คือบริษัท Threadless[4] ซึ่งเป็นบริษัทเกิดใหม่ ด้วยเงินทุนเพียง 1,000
เหรียญสหรัฐในปี 2000 ภายในไม่ถึง 10 ปี บริษัทนี้สามารถทำรายได้กว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐด้วยพนักงานเพียงประมาณ 80 คนเท่านั้น Threadless จำหน่ายเสื้อผ้าประเภทเสื้อยืดวัยรุ่นด้วยรูปแบบธุรกิจที่ไม่เคยมีมาก่อน
หลักคิดที่ไม่เหมือนใครคือสร้างชุมชนนักออกแบบผ่านเว็บไซท์ ทุกสัปดาห์จะมีนักออกแบบทั้งสมัครเล่นและมืออาชีพร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานกว่า
1,000
ชิ้น บริษัทเชิญชวนให้สาธารณะชนร่วมกันให้คะแนนนิยม
บริษัทจะเลือกรายการที่ได้รับคะแนนนิยมสูงสุด 10 รายการแรก นำไปผลิตเป็นเสื้อยืดจัดจำหน่ายทั่วโลก กิจกรรมทั้งหมดทำผ่านระบบออนไลน์
เจ้าของแบบที่ได้รับคิดเลือกจะได้รางวัลในรูปเงินสด 2,000
เหรียญสหรัฐ และบัตรของขวัญมูลค่าอีก 500
เหรียญสหรัฐ ถ้าแบบถูกนำไปผลิตซ้ำ เจ้าของแบบยังจะได้รับส่วนแบ่งอีก 500 เหรียญต่อครั้ง จุดเด่นของรูปแบบธุรกิจนี้อยู่ที่จัดให้มีส่วนร่วมตั้งแต่นักออกแบบ
ผู้ผลิตเสื้อยืด ผู้ที่ร่วมลงคะแนนนิยม ตลอดจนประชาชนทั่วโลกที่เป็นลูกค้า ผู้ที่เกี่ยวข้องแต่ละกลุ่มต่างใช้ทรัพยากรทั้งทักษะและความรู้ของตน
ร่วมกันสร้างคุณค่าให้แก่กันและกัน เป็นรูปแบบธุรกิจที่เป็นของชุมชนอย่างแท้จริง
เน้นการสร้างคุณค่าโดยผู้บริโภคมีส่วนร่วม (Co-creation of value) เป็นวิธีใช้ทรัพยากรของทุกคนที่เกี่ยวข้องอย่างมีศักยภาพและประหยัด ในส่วนของผู้ลงทุนเอง ก็ได้รับผลตอบแทนหลายพันเท่าตัวอย่างที่ธุรกิจผลิตและขายเสื้อผ้าแนวคิดเดิมของศตวรรษที่
20
ไม่อาจเทียบได้
ที่กล่าวมาข้างต้น
มุ่งที่ตอบคำถามว่าทำไมต้องเปลี่ยน สาเหตุหลักคือพัฒนาการของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีผลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค
และการแข่งขันที่กำลังเปลี่ยนทิศทาง
การเปลี่ยนแปลงนั้นมุ่งหวังผลในการสร้างคุณค่า (Value Creation) ให้แก่ผู้บริโภค ธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
แทนที่จะมุ่งเน้นสร้างสินค้าที่สวยงาม มีคุณภาพ และราคาถูกเพื่อจำหน่ายให้ได้กำไร ซึ่งได้ประจักษ์แล้วว่าเป็นวิธีการสร้าง Commodity
Trap ที่ไม่มีผู้ชนะ มีแต่ผู้แพ้ การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มจากธุรกิจที่ได้ตระหนักถึงอิทธิพลของเทคโนโลยีดิจิทัลและยอมเปลี่ยนแนวคิดหรือ
Mindset ที่จะทำธุรกิจด้วย Business Logic ใหม่ เพราะแนวคิดของธุรกิจเดิมไม่เหมาะสมกับโลกใหม่ที่อยู่ในยุคดิจิทัล
ธุรกิจไม่ว่าจะเป็นขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจในอุตสาหกรรมใดต่างต้องเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลง
มากน้อย เร็วหรือช้านั้นขึ้นอยู่กับบริบทและความพร้อมของแต่ละธุรกิจ
[2]
Our Sustainability Strategy-Niki Inc., http://www.nikeresponsibility.com/report/content/chapter/our-sustainability-strategy
[4]
ที่มาของข้อมูล
http://en.wikipedia.org/wiki/Threadless
No comments:
Post a Comment