บทความตอนที่ 7 ได้กล่าวถึงบทบาทภาครัฐในการส่งเสริมอุตสาหกรรม
4.0 ด้านสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ธุรกิจเชื่อมโยงกันตั้งแต่งานผลิตสินค้าในโรงงานจนถึงการจัดการภายในสำนักงาน
โครงสร้างพื้นฐานนอกจากเป็นระบบโทรคมนาคมเช่นอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ครอบคลุมและทั่วถึงแล้ว
ยังรวมทั้งด้านมาตรฐานที่สนับสนุนการใช้ดิจิทัล เช่นมาตรฐานรหัสสินค้า
และมาตรฐานชุดข้อมูลเพื่อทำธุรกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่มาตรฐานเอกสารชำระเงิน
จนถึงมาตรฐานเอกสารประกอบการทำรายการค้าเช่นใบขนสินค้า ใบแจ้งหนี้อินวอยและใบกำกับภาษีเป็นต้น
บทความตอนที่ 8 นี้ เป็นตอนสุดท้ายของชุด
“ธุรกิจในศตวรรษที่ 21 เป็นรูปแบบ Cyber-Physical
Systems” จะกล่าวถึงแนวทางการส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมเพื่อพัฒนาทักษะการใช้ดิจิทัลให้เท่าทันกับธุรกิจขนาดใหญ่
2.
บทบาทของภาครัฐในการส่งเสริมอุตสาหกรรม
4.0
2.1.
สนับสนุนให้อุตสาหกรรมปรับตัวให้เป็นธุรกิจดิจิทัล
1)
สนับสนุนให้ใช้มาตรฐานข้อมูลและ
Standard Messages
(กรุณาอ่านรายละเอียดจากตอนที่
7)
2)
สนับสนุนให้พัฒนาระบบซอฟต์แวร์ธุรกิจสำหรับธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม
ธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม (SMEs) ทำธุรกิจด้วยขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนเหมือนธุรกิจขนาดใหญ่ ขั้นตอนของงานค่อนข้างจะเรียบง่ายแต่ก็ครอบคลุมงานภายในห่วงโซ่คุณค่า
ทั้งกระบวนการหลัก (Core processes) จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ และกระบวนการสนับสนุน (Supporting
processes) เหมือนกับธุรกิจขนาดใหญ่
กระบวนงานนั้นมีความหลากหลายในแนวกว้าง
แต่งานทุกขั้นตอนไม่ลงลึกมากเหมือนธุรกิจขนาดใหญ่
เมื่อเป็นเช่นนี้ ระบบ Enterprise
Resource Planning หรือ ERP โดยย่อ ที่ให้บริการอยู่ในตลาดปัจจุบัน ถึงแม้จะเป็นระบบเล็กก็ตาม
ก็ยังมีความซับซ้อนมากเกินความต้องการของ SMEs และมี Functions/Features เกินความจำเป็น
นอกจากจะทำให้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการใช้ระบบงานเหล่านี้สูงเกินไป
ยังเสียเวลาในการเรียนรู้โดยไม่จำเป็น อีกทั้งระบบ ERP เหล่านี้ไม่สามารถปรับตัวให้ทำงานตามความต้องการของธุรกิจได้เร็วตามความจำเป็น
อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ธุรกิจ SMEs ที่ผ่านมามีความรู้สึกว่าระบบ ERP
เหล่านี้ไม่เหมาะสมกับธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม เป็นผลให้ SMEs
ส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีไอซีทีและไม่พร้อมที่จะปรับธุรกิจเข้ากับสภาพการทำธุรกิจแบบออนไลน์ดังเช่นธุรกิจขนาดใหญ่
แต่ด้วยเหตุที่ธุรกิจ SMEs เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจทุกขนาด
เมื่อระบบเศรษฐกิจระดับโลกกำลังจะปรับตัวเข้าสู่การทำธุรกิจออนไลน์แบบ End-to-end
ตลอดห่วงโซ่คุณค่า กลุ่มธุรกิจ SMEs จึงจำเป็นต้องถูก Digitized ซึ่งหมายถึงต้องปรับกระบวนการทำงานทั้งระบบภายในและส่วนที่ทำธุรกรรมกับบุคคลภายนอกด้วยกระบวนงานที่ใช้ดิจิทัลต้องสามารถรองรับการแข่งขันที่อาศัยความรวดเร็ว
(Speed)
ปรับเปลี่ยนได้คล่องตัวตามพลวัตรของตลาด (Agility)
และสามารถเข้าถึงตลาดได้กว้างไกล (Market
reach) ด้วยต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ต่ำได้
ระบบสารสนเทศที่เหมาะกับธุรกิจ
SMEs
ในยุคดิจิทัลต้องมีลักษณะที่บริการด้วย Cloud
Computing มีระบบซอฟต์แวร์ที่เลือกและปรับตัวได้ตามความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างง่าย
และมีให้เลือกที่หลากหลาย ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำ ผู้ใช้ไม่ต้องใช้เวลาเรียนรู้นาน
และสามารถทำงานได้ด้วยอุปกรณ์พกพาที่มีอยู่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง
ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องลงทุนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ หรือถ้ามีก็มีไม่มาก
เป็นระบบสารสนเทศที่สามารถปรับให้ทำงานในสภาพแวดล้อมของธุรกิจทุกรูปแบบ เทคโนโลยีซอฟต์แวร์แบบ
Microservice
จึงเหมาะที่จะพัฒนาเพื่อการ Digitize ธุรกิจของ SMEs ตามแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0
ในระยะ 10-20 ปีที่ผ่านมา เรามีเทคโนโลยีลักษณะคล้ายกับ Microservices ที่รู้จักในชื่อว่า SOA
หรือ Service Oriented Architecture แต่ SOA ในยุคแรกมีความสลับซับซ้อนมาก และผลผลิตคือชิ้นส่วนของซอฟต์แวร์
(Software
components) นั้นใช้ยาก
เพราะต้องอาศัยเทคโนโลยีระดับสูง นอกจากนี้ยังต้องลงทุนมาก ซึ่งแน่นอน
เป็นเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะกับธุรกิจ SMEs ด้วยนา ๆ ประการ SOA ถือได้ว่าเป็นก้าวแรกที่คนเราพยายามหาวิธีที่ทำให้ซอฟต์แวร์ถูกสร้างได้ง่ายและใช้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายต่ำ
แต่ก็พบอุปสรรค์ด้วยเหตุที่เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ยาก ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกฝนอย่างชำนาญ
และใช้เวลาพัฒนาค่อนข้างยาว เทคโนโลยี Microservice
ถือได้ว่าเป็นผลจากการปรับปรุงเพื่อให้แนวคิดการสร้างซอฟต์แวร์เป็นชิ้น
ๆ นั้นทำได้ง่ายขึ้น ด้วยค่าใช้จ่ายต่ำ Microservice
จึงเหมาะสำหรับการ Digitize ธุรกิจ SMEs เพื่อให้ SMEs จะได้กลายแป็นกลุ่มหนึ่งของเครือข่ายการค้าโลกที่นับวันจะพัฒนาการค้าสู่ระบบดิจิทัลมากขึ้น
Microservice คือซอฟต์แวร์ชุดเล็ก ๆ ที่ถูกออกแบบให้ทำงานเฉพาะด้าน
เช่นงานรับการสั่งซื้อ การจับจองสินค้า รับชำระเงิน จัดส่งสินค้า ฯลฯ Microservice
ถูกออกแบบทำหน้าที่บริการที่ทำงานเป็นอิสระ เบ็ดเสร็จในตัว
พึ่งพาระบบงานส่วนอื่น ๆ ให้น้อยที่สุด (Loosely coupled) ที่สำคัญ Microservice ต้องมีคุณสมบัติเป็น “Bounded Contexts” ซึ่งหมายถึงซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบให้รู้งานเฉพาะที่รับผิดชอบ
ไม่ต้องยุ่งกับโลกภายนอกโดยไม่จำเป็น มีคุณลักษณะเป็น Autonomous
ที่บริหารจัดการง่าย
แต่เมื่อนำ Microservices จำนวนหนึ่งมาทำงานเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจหนึ่ง ๆ
ก็สามารถบรรลุผลตามเจตนาได้โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลส่วนอื่น ๆ ของระบบ
Platform
หรือ Ecosystem ซึ่งถือว่าเป็นงานส่วนกลางที่ถูกออกแบบแยกออกจาก Microservices
เมื่อเป็นเช่นนี้
การใช้ซอฟต์แวร์เพื่องานทางธุรกิจจะมีลักษณะคล้ายกับที่เราใช้ Facebook
หรือระบบ E-Commerce ที่ผู้ใช้เรียนวิธีใช้เฉพาะส่วนที่ตนเองสนใจ
และทำงานตามขั้นตอน ซึ่งเข้าใจได้ง่าย เพื่อบรรลุผลที่ต้องการเท่านั้น
ส่วนหน้าที่อื่น ๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ Platform ซึ่งอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของ
SMEs รัฐบาลจำเป็นต้องให้การสนับสนุนให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทยลงทุนสร้าง Microservices เพื่อบริการกลุ่ม SMEs อย่างแพร่หลาย
2.2.
สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้มีความรู้ด้าน Digital Business
Transformation
การพัฒนาธุรกิจเข้าสู่อุตสาหกรรม
4.0 ไม่เพียงแต่จะสนับสนุนให้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเป็น
แต่ยังต้องปรับแนวคิดและให้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล
รวมทั้งเข้าใจขั้นตอนการปรับเปลี่ยนจากรูปแบบธุรกิจปัจจุบันให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในโลกดิจิทัล
ไม่เฉพาะแข่งขันภายในประเทศหรือภูมิภาค และต้องสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ด้วย
รัฐบาลจำเป็นต้องสนับสนุนภาคธุรกิจ
โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมให้ตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลและแนวทางการปรับเปลี่ยนธุรกิจเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากดิจิทัลได้อย่างเต็มที่
โดยสนับสนุนให้ธุรกิจได้รับการอบรมและเรียนแนวทางการปรับเปลี่ยนธุรกิจเพื่อแข่งขันในยุคดิจิทัลได้
การฝึกทักษาด้าน Digital Business Transformation ควรมีเนื้อหาสาระหลักอย่างน้อยดังนี้
1)
ความสำคัญและผลจากเทคโนโลยีดิจิทัล
โดยให้เข้าใจว่าดิจิทัลเป็นเทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมโยง มี Social
technology เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างชุมชนเพื่อทำธุรกิจแบบใหม่ที่เน้น
Value Creation เทคโนโลยีเกี่ยวกับเครือข่ายสังคม
(Social Network) เปลี่ยนแปลงแนวทางการทำธุรกิจครั้งใหญ่ จากเดิมที่เป็นธุรกิจเน้น
Optimize
internal processes and resources เพื่อสร้างสินค้า
มาเป็นสร้างคุณค่าจาก Interaction
เปลี่ยนจาก Value
chain ที่ประกอบด้วย Series
of linear activities มาเป็น a
network of interactions ธุรกิจในโลกของเครือข่ายสังคมเปลี่ยนแนวคิดการทำธุรกิจมาเป็นวิธีแบ่งปันใช้ทรัพยากรและร่วมมือกัน
แทนการแข่งขันการเป็นเจ้าของทรัพยากรเพื่อสร้างความได้เปรียบ
2)
ในโลกของการเชื่อมโยงเป็นชุมชนและเครือข่าย ธุรกิจสามารถทำงานร่วมกันกับพันธมิตรได้ง่ายและคล่องตัว
นำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการได้คล่องตัวจนสามารถให้บริการแบบ Mass customization และ Personalization ที่เน้นคุณค่าจากการใช้สินค้าและบริการ แทน Mass Production ที่เน้นการสร้าง Function/Feature
ซึ่งเป็นคุณค่าประจำตัวสินค้าและบริการเพื่อจำหน่ายให้ได้กำไรเท่านั้น
3)
Value Creation Principles เป็นหลักการที่ช่วยการออกแบบระบบงานที่เน้นทักษะด้าน Customer-driven, Service Science เป็นหลักคิดของการสร้างคุณค่าโดยยึดแนวทางการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดคุณค่าสูงสุด
4)
ความหมายและความสำคัญของ Interactive
Design, ความหมายของ Value
Creation System (VCS) แนวคิดการสร้างนวัตกรรมบริการดิจิทัล
(Digital
Services) เพื่อสนับสนุนการสร้างคุณค่าด้วยวิธี
Interactive
Design
5)
แนวคิดการออกแบบ
Value
Creation System การรวมตัวของ Cyber-Physical System (CPS) เกิดเป็น
Value
Constellation เพื่อการทำ Process
reconfiguration เพื่อสร้างคุณค่าแบบ Mass
customization แนวทางสร้าง Platform
เพื่อการทำงานปฏิสัมพันธ์และการ Deliver
value
6)
การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเพื่อแข่งขันได้ในยุคดิจิทัลต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน
(Business
Transformation Maturity Model) ทางเลือกการปรับเปลี่ยนธุรกิจยุคใหม่ด้วยดิจิทัล
ยุทธศาสตร์เพื่อการปรับปรุงธุรกิจตามแนว Product-centric การปรับปรุงให้เกิดความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อร่วมสร้าง Offerings
ที่หลากหลาย การปรับเปลี่ยนธุรกิจด้วยการเน้นเพิ่มบริการ
และการปรับเปลี่ยนให้เป็นธุรกิจที่เน้น Value Creation ด้วยระบบDigital Platform
ที่ได้กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างของเนื้อหาสาระที่ธุรกิจจำเป็นต้องเรียนรู้ รายละเอียดของเนื้อหาเกี่ยวกับ
Digital Business Transformation จะบรรยายในบทความชุดใหม่ต่อไป
No comments:
Post a Comment