บทความตอนที่ 6 ได้กล่าวถึงนโยบาย Thailand 4.0 ของประเทศไทยบนพื้นฐานของแนวคิด
Cyber-Physical System (CPS) และได้แนะนำความหมายของ Industry 4.0 ว่าเป็นรูปแบบธุรกิจดิจิทัลที่อาศัยการเชื่อมโยงธุรกิจในทุกมิติ ทั้งแนวลึกและแนวกว้าง
(Vertical and Horizontal Integration) ทั้ง Top-floor
และ Shop-floor บทความตอนใหม่นี้จะกล่าวถึงกรอบความคิดของการพัฒนาอุตสาหกรรม
4.0 ของประเทศไทย และบทบาทของรัฐในการส่งเสริมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม
4.0
1.
กรอบความคิดของการพัฒนา
Industry 4.0
Industry 4.0 ตามที่ได้อธิบายมาในตอนที่แล้ว บางครั้งเรียกว่า
“Industrial Internet” หมายถึงการทำธุรกิจที่ใช้อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิทัลเชื่อมโยงกระบวนการทางธุรกิจและทำประมวลผลข้อมูลในรูปแบบใหม่
ๆ จนมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่รูปแบบธุรกิจ (Business Model) สินค้าและบริการ กระบวนการผลิต
และกระบวนการทำงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าจากต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทำให้ธุรกิจพัฒนาไปในทิศทางที่เน้นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
Industry 4.0 เป็นคำที่ใช้เพื่อสื่อความหมายถึงยุคที่
4 ของการปฏิวัติอุสาหกรรมที่เน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกระบวนการทางธุรกิจทั้งภายใน
(Vertical Integration) และกระบวนการทางธุรกิจภายนอก (Horizontal
Integration) ที่จะปรับเปลี่ยนแนวคิดและแนวทางการทำธุรกิจใหม่โดยเน้นการสร้างคุณค่า
(Value Creation) และประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ (Customer
Centricity) พื้นฐานสำคัญของ Industrial Internet คือการทำงานที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย (Network หรือ
Value Constellation) เพื่อทำงานร่วมกัน แบ่งปันทรัพยากรและองค์ความรู้ระหว่างพันธมิตร
และทำให้เกิดธุรกิจ Outsourcing มากขึ้นทั่วโลกด้ายวิธีเชื่อมโยงกันผ่านอินเทอร์เน็ตทุกรูปแบบ
ที่สำคัญ เน้นการใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อให้การทำงานในทุก ๆ กระบวนการมีความฉลาดและรู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจใหม่ที่สามารถแก้ปัญหาและตอบโจทย์ของผู้บริโภคได้
อีกทั้งยังสร้างมาตรการทางธุรกิจที่มีความโดดเด่นและทันสมัยรับมือกับการแข่งขันที่มีพลวัตรสูง
โดยสรุป ธุรกิจและอุตสาหกรรมภายใต้แนวความคิดของ Industry 4.0 หรืออุตสาหกรรม 4.0 ให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจ 3 ด้านหลัก ๆ คือ
1) สินค้าและบริการ 2)
กระบวนการทำงานแบบบูรณาการ และ
3) รูปแบบธุรกิจ (Business Model)
1)
การพัฒนาสินค้าสินค้าและบริการ
เป็นแนวคิดการ Digitize
สินค้าและบริการเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้า การใช้อุปกรณ์ Sensors
หรือ IoT ทำให้สินค้าสามารถสื่อสารข้อมูลกับผู้บริโภคหรือเครื่องจักร
เป็นแนวคิดใหม่ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของใช้ทำงานกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมและบรรยากาศ
เช่นเครื่องฉีดน้ำอัตโนมัติที่ใช้ในภาคเกษตรมีอุปกรณ์ Sensors วัดอุณหภูมิและความชื้น เพื่อควบคุมการฉีดน้ำอย่างเหมาะสมโดยอัตโนมัติ หรือการสร้างบริการดิจิทัลที่ทำให้การใช้ผลิตภัณฑ์ได้คุณค่าเพิ่มขึ้น
เช่นการสร้าง Mobile apps สารพัดอย่างทำให้เครื่องโทรศัพท์พกพา
นอกจากจะใช้เป็นเครื่องสื่อสารโทรศัพท์ ยังสามารถทำงานอื่น ๆ ได้มากมาย ตั้งแต่การสื่อสารที่ใช้ตัวหนังสือ
เช่น Line และ WhatsApp จนถึงเป็นอุปกรณ์เล่นเพลงและดูข่าวชมภาพยนตร์จนถึงการสั่งซื้อสินค้าและชำระเงิน
อุตสาหกรรมในยุคดิจิทัลจึงต้องแข่งขันที่นวัตกรรม ทั้งนวัตกรรมด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีความฉลาด
และนวัตกรรมด้านบริการดิจิทัลที่สร้างประโยชน์และคุณค่าจากสินค้าและบริการได้อย่างมาก
2)
การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานแบบบูรณาการ
อุตสาหกรรมที่ทำธุรกรรมด้วยดิจิทัลหรือธุรกิจดิจิทัลมักจะทำธุรกรรมส่วนใหญ่ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รูปแบบการทำงานและการบริหารจัดการจะแตกต่างจากเดิมตลอดห่วงโซ่คุณค่า
ตั้งแต่กลุ่มกระบวนการงานหลัก (Core processes) เช่นงานด้านการผลิต การจัดหาสินค้า การตลาด การจัดจำหน่าย
การบริการหลังการขาย และกลุ่มงานสนับสนุน (Supporting processes) ประกอบด้วยงานด้านการเงินการบัญชี การบริหารบุคลากร การจัดซื้อจัดหา
ฯลฯ
รูปแบบงานทั้งหมดต้องถูกออกแบบใหม่และปรับเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
การทำงานทุกขั้นตอนมีโอกาสจะทำร่วมกับบุคคลภายนอก หมายถึงกับพันธมิตรและลูกค้า กระบวนการงานหลักของธุรกิจประกอบด้วย
·
งานด้านจัดซื้อ
(Procurement)
·
งานด้านการผลิต
(Manufacturing)
·
งานด้านจัดการห่วงโซ่อุปทาน
(Supply chain management) และ
·
งานด้านจัดจำหน่าย
(Order management)
กระบวนการงานหลักเหล่านี้ถูกออกแบบให้ทำงานผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบูรณาการกัน
(Vertical and Horizontal Integration) ความสลับซับซ้อนของกระบวนการงานหลักเหล่านี้ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจและขนาดของธุรกิจ
ความสามารถออกแบบกระบวนการงานหลักที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อทำธุรกรรมแบบออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับคู่ค้าและลูกค้าได้ตลอดห่วงโซ่คุณค่าเป็นเรื่องที่บ่งชี้ถึงความสามารถที่ธุรกิจเหล่านี้จะแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล
3)
การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ
(Business Model)
พัฒนาการของเทคโนโลยีดิจิทัลในยุคปัจจุบันมีอิทธิพลอย่างมากต่อธุรกิจจนถึงขั้นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ
(Business Model) ใหม่ให้มีลักษณะดังนี้
· เน้นการสร้างคุณค่า (Value Creation) แทนการเพิ่มคุณค่า (Value-added)
· สร้างคุณค่าใหม่ ๆ
ให้แก่ธุรกิจเดิม โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า
(Value chain) จนได้ผลเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
· สร้างความสามารถด้านดิจิทัลให้แก่องค์กรเพื่อพัฒนาธุรกิจแนวใหม่บนพื้นฐานของแนวความติดใหม่
(Mindset)
ทั้งในระดับบริหารและระดับปฏิบัติ จนเป็นผลให้รูปแบบการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
รูปแบบของธุรกิจดิจิทัลจึงเกี่ยวข้องกับการสร้างนวัตกรรมเกี่ยวกับสินค้าและบริการ
และกระบวนการทำงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าที่ร่วมมือกับพันธมิตรในลักษณะเป็นเครือข่ายที่อาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างคุณค่าและตอบโจทย์ของลูกค้าได้ตามบริบท
รูปที่ 1 สรุปกรอบแนวคิดการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 (source:
PWC, 2014.)
ภาพที่แสดงในรูปที่
1 นอกจากจะแสดงถึงการพัฒนาธุรกิจ 3 มิติเพื่อมุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0 ยังตอกย้ำให้เห็นความสำคัญของการทำงานเป็นเครือข่ายระหว่างพันธมิตรทั้งในรูปแบบการร่วมมือกันหรือรูปแบบการ
Outsource และความสำคัญของการใช้ข้อมูลในวงกว้างเพื่อให้เกิดความรอบรู้ในทุก
ๆ ด้าน (Insights) เพื่อให้การบริหารจัดการธุรกิจดิจิทัลภายใต้กรอบความคิดของอุตสาหกรรม
4.0 สามารถปรับเปลี่ยนให้ทันสถานการณ์ที่มีพลวัตรสูงมากได้
2.
บทบาทของภาครัฐในการส่งเสริมอุตสาหกรรม
4.0
เป้าหมายของรัฐบาลภายใน 10-20 ปี กิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกกิจกรรมจะต้องเชื่อมต่อภายในและระหว่างประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
นำประเทศไทยไปเป็นส่วนสำคัญของระบบห่วงโซ่คุณค่าโลก (Global Value Chain) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ประเทศไทยต้องเริ่มสนับสนุนให้ธุรกิจไทย
โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม Digitize
ตนเองให้เป็น Digital Business ก่อน เพื่อให้เกิดความพร้อมที่จะเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจต่างประเทศต่อไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
โดยภาครัฐจะต้องเตรียมให้การสนับสนุนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ในสิ่งต่อไปนี้
2.1.
สนับสนุนให้อุตสาหกรรมปรับตัวให้เป็นธุรกิจดิจิทัล
การ Digitize ธุรกิจให้เป็นธุรกิจดิจิทัลนั้นต้องเริ่มจากการช่วยให้ปรับขั้นตอนการทำงาน
(Business processes) เป็นดิจิทัล และสามารถเชื่อมโยงกับคู่ค้าโดยเฉพาะผู้ซื้อรายใหญ่เพื่อทำรายการค้า
(Business Transaction) แบบออนไลน์ ในเบื้องต้นควรครอบคลุมรายการค้าสำคัญพื้นฐาน
4 ชนิดคือ
·
รายการสั่งซื้อ
(Purchasing Order, PO)
·
รายการขาย
(Invoice)
·
รายการสั่งจ่ายเงิน
(Payment)
·
รายการรับเงิน
(Receive)
จุดเริ่มต้นเพื่อเตรียมตัวสู่อุตสาหกรรม 4.0 นี้รัฐบาลต้องเร่งสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมอย่างน้อยในเรื่องต่อไปนี้
1)
สนับสนุนให้ใช้มาตรฐานข้อมูลและ
Standard Messages ประกอบด้วย
· มาตรฐานรหัสสินค้าสากล ซึ่งขณะนี้ภาครัฐและเอกชนได้ตกลงเลือกมาตรฐาน
Global Trade Item Number (GTIN 13 หลัก)
ของ GS1
· มาตรฐานรหัสแยกกลุ่มสินค้า ซึ่งขณะนี้ได้ตกลงใช้รหัส UNSPSC ของสหประชาชาติ (UN
Development Programme (UNDP)) ภายใต้การจัดการของ GS1 รหัส UNSPSC เป็นมาตรฐานรหัสแยกกลุ่มสินค้าและบริการหลายระดับ
ซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับการบริหารจัดการการค้าระดับสากล
· มาตรฐานใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์
ที่ขับเคลื่อนโดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)
ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมสรรพากร และสภาอุตสาหกรรม
โดยใช้มาตรฐานที่อิงกับมาตรฐานของ UN/CEFACT มาตรฐานใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์นี้ครอบคลุมถึงเอกสารรายการค้าอิเล็กทรอนิกส์อื่น
ๆ เช่น ใบกำกับภาษี (e-Tax Invoice) ใบเสร็จรับเงิน (e-Receipt)
และอื่น ๆ การใช้มาตรฐานรายการค้าอิเล็กทรอนิกส์ชุดนี้จะทำให้การค้าออนไลน์ของไทยแบบ
End-to-end ทำได้สมบูรณ์ขึ้น
· มาตรฐานข้อมูลการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศได้ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ร่วมพัฒนามาตรฐานกลางข้อความการชำระเงิน
(Nation
Payment Message Standard) ที่จะส่งผลให้ข้อมูลการค้าและข้อมูลการชำระเงินเชื่อมโยงกันได้โดยอัตโนมัติแบบ
Straight-Through
Processing ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรวดเร็วและลดต้นทุนในกระบวนการทางธุรกิจ
ประเทศไทยได้เลือกใช้มาตรฐาน ISO 20022
ที่กล่าวข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนของมาตรฐานข้อมูลและมาตรฐานข้อความที่ใช้ในกิจกรรมการค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการพัฒนาธุรกิจดิจิทัลและนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรม
4.0
ยังมีต่อครับ
No comments:
Post a Comment