ความแตกต่างระหว่างยุคสารสนเทศ
(Information Age) และยุคดิจิทัล (Digital
Age) อยู่ที่ยุคดิจิทัลอาศัย เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีศักยภาพสูงทำการปฏิรูปธุรกิจในวงกว้าง
ในยุคดิจิทัล อุปกรณ์พกพาที่เชื่อมโยงกันผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมีผลให้ผู้บริโภคหรือลูกค้าเปลี่ยนบทบาทจาก Passive consumers เป็น Active
consumers การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคทำให้การตลาดเปลี่ยนไป
สู่การตลาดแนวใหม่ที่เป็น Digital marketing อาศัยเทคนิคด้าน
Social media ต่าง ๆ แทนการใช้สื่อดั่งเดิม
เช่นสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุและโทรทัศน์ โดยเน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง
ธุรกิจแทนที่จะเน้นการผลิตสินค้าและบริการ และพยายามขายสินค้าและบริการให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในยุคดิจิทัลนั้นจะให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมเพื่อแข่งขันกันด้วยบริการที่มีคุณค่า
เป็นการแข่งขันด้วยวิธีสร้าง Customer experience นอกจากนี้
ในยุคดิจิทัล
ยังให้ความสำคัญกับการใช้ข้อมูลที่มีจำนวนมากทั้งข้อมูลภายในและภายนอกองค์กร
ทำการสังเคราะห์และวิเคราะห์ทั้งรูปแบบ Back-casting, Forecasting
และ Predicting เพื่อให้สามารถเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค
และหามาตรการสนองตอบความต้องการได้ดีกว่าคู่แข่ง เทคโนโลยีดิจิทัลเปิดทางให้ธุรกิจที่รู้วิธีสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
นำดิจิทัลมาสร้างนวัตกรรมรูปแบบใหม่ทางธุรกิจ (Business model innovation) เป็นผลให้เกิดการปฏิรูปแนวทางธุรกิจใหม่ จนสามารถนำหน้าธุรกิจแบบดั่งเดิมได้
ในยุคของดิจิทัลที่ไร้พรมแดน ประเทศใดที่เข้าใจดิจิทัลและสามารถปฏิรูปธุรกิจได้ดีกว่า
ย่อมจะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน จนนำหน้าในเชิงเศรษฐกิจและสังคมและทิ้งประเทศที่ด้อยความสามารถด้านดิจิทัลอยู่เบื้องหลัง
สิ่งที่กล่าวทั้งหมด
ไม่เฉพาะเกิดขึ้นแก่ภาคธุรกิจ ภาครัฐก็ไม่แตกต่างกัน
ทุกประเทศกำลังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับปรุงแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินและให้บริการประชาชนโดยเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลางในลักษณะเดียวกันกับภาคธุรกิจที่กล่าวข้างต้น
ประเทศไทยก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการสร้างความพร้อม
และอาศัยดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
รวมทั้งสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระดับโลก
สิ่งที่ภาครัฐต้องเตรียมความพร้อม นอกจากการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม
และการปรับปรุงกฎหมายกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาธุรกิจแล้ว
รัฐยังต้องให้ความสำคัญที่จะเร่งยกระดับความสามารถของผู้ประกอบขนาดเล็กและขนาดย่อมให้สามารถปรับตัวเข้าไปอยู่ในเครือข่ายธุรกิจออนไลน์
(Online business) ด้วยเหตุที่ว่าธุรกิจออนไลน์เป็นพื้นฐานสำคัญของการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล
โดยเฉพาะออนไลน์ด้วยอุปกรณ์พกพาที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ด้วยเหตุผลที่กล่าว
รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินโครงการเร่งด่วนเพื่อการส่งเสริมการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีในภาคธุรกิจด้วยโครงการดังนี้
1.
ส่งเสริมให้ใช้
e-Transaction แบบ End-to-end
ธุรกิจประเภทที่ต้องทำ
Fulfillment มีกระบวนการรับใบสั่งซื้อ
จัดส่งสินค้า ส่งใบแจ้งหนี้ ฯลฯ กระบวนการเหล่านี้ต้องส่งเอกสารทางธุรกรรมระหว่างผู้ซื้อ
ผู้ขาย ผู้บริการส่งสินค้า รวมทั้งการชำระเงิน ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีระบบมาตรฐานในเชิงข้อมูลและโครงสร้างของเอกสารธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ร่วมกันทั้งระบบ การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างบริษัทต่างใช้เอกสารธุรกิจที่มีรูปแบบของตนเอง
ถึงแม้ธุรกิจไทยจะใช้ระบบออนไลน์กันมากแล้วก็ตาม
แต่ความไม่มีมาตรฐานด้านธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทำให้ทุกบริษัทต้องบันทึกข้อมูลซ้ำซ้อน
การมีระบบมาตรฐาน e-Transaction ที่ใช้ได้ทั้งประเทศจึงเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญเพื่อประเทศจะได้ก้าวสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลได้
สำนักงานธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ
(องค์การมหาชน) และสภาอุตสาหกรรม
กับอีกหลาย ๆ หน่วยงานต่างตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ ได้ริเริ่มโครงการมาตรฐานธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มาแล้วระยะหนึ่ง และสภาอุตสาหกรรมมีดำริที่จะเริ่มใช้ e-Invoice ในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก
ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐ โครงการนี้ก็น่าจะเกิดขึ้นได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน และทำได้เต็มรูปแบบภายในระยะเวลาประมาณสองปี
2.
ส่งเสริมให้ใช้
e-Payment อย่างแพร่หลาย
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผลักดันให้ใช้มาตรฐานข้อความการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
(e-Payment Message Standard) เพื่อเป็นรากฐานการประมวลผลชำระเงินแบบ
Straight through processing เป็นการลดต้นทุนเกี่ยวกับการชำระเงินในภาคธุรกิจ
โดยข้อมูลการชำระเงินที่เป็นมาตรฐานนี้จะเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่น
ๆ เช่น e-Invoice และเอกสารการค้าอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงิน โดยกิจกรรมชำระเงินที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย เช่น การออกเช็คเพื่อชำระสินค้าและบริการ
การโอนเงินระหว่างบัญชีภายในธนาคาร และต่างธนาคาร
การโอนเงินระหว่างประเทศ ฯลฯ
การใช้มาตรฐานข้อความการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเพื่อรองรับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่รัฐบาลจะรีบเร่งให้เกิดการใช้อย่างแพร่หลายโดยเร็ว
3.
ส่งเสริมให้ใช้ระบบ
ERP รองรับ e-Tranaction และ e-Payment
ธุรกิจภายใต้เศรษฐกิจดิจิทัล
ไม่ว่าจะเป็นขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กต่างต้องปรับกระบวนการทำงานให้พร้อมรองรับการทำธุรกรรมออนไลน์
หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันบริษัทขนาดกลางขนาดย่อมส่วนใหญ่ยังไม่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อลงบัญชีและการจัดการทรัพยากรขององค์กร
(Enterprise Resource Planning, ERP) เพื่อให้ระบบธุรกิจไทย
โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมได้เตรียมความพร้อมที่จะปรับตัวเองให้สามารถทำธุรกรรมออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพและแข่งขันได้ในเชิงต้นทุนและผลิตภาพ
จำเป็นที่ภาครัฐจะเข้ามาส่งเสริมการใช้ระบบซอฟต์แวร์ทางบัญชีและระบบ ERP ได้อย่างเหมาะสมกับสถานภาพตามบริบทของธุรกิจแต่ละขนาดและแต่ละชนิด ทำให้ระบบธุรกิจไทยทั้งระบบมีความพร้อมที่จะแข่งขันในตลาดโลกได้ในยุคดิจิทัล
4.
ส่งเสริมให้ธุรกิจทำธุรกรรมออนไลน์ให้มากขึ้น
การเพิ่มช่องทางการค้าขายด้วยวิธีทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในยุคดิจิทัลเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ การส่งเสริมธุรกิจผ่านช่องทาง e-Commerce นั้นไม่เพียงแค่นำสินค้าออกจำหน่ายแบบออนไลน์
แต่ต้องทำได้ครบวงจร ตั้งแต่การเลือกใช้ e-Marketplace จนถึงการจัดการบริการที่ครบถ้วน
ตั้งแต่ระบบบริการจัดส่งสินค้า การประกันความเสี่ยง ระบบการร้องเรียน
และระบบชำระเงิน ในกรณีที่ต้องการส่งเสริมให้ธุรกิจไทยแข่งขันในต่างประเทศผ่านระบบออนไลน์
อาจต้องคำนึงถึงการให้บริการแปลภาษา
เพื่อสามารถแปลข้อเสนอและคุณลักษณะสินค้าและบริการจากภาษาไทยเป็นภาษาต่างประเทศด้วย
5.
ส่งเสริมให้เกิดทักษะในด้าน
Digital Business Transformation
ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่า
Digital Economy ไม่ใช่เรื่องการใช้ไอซีทีเพื่อปรับปรุงธุรกิจให้ดีขึ้น
แต่เป็นการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมสินค้าและบริการ รวมทั้งนวัตกรรมด้านรูปแบบธุรกิจใหม่ (New
business model) และนวัตกรรมด้านกระบวนการ (Business process
innovation) Digital Economy จึงเป็นระบบเศรษฐกิจที่แข่งขันด้วยนวัตกรรม
เป็นนวัตกรรมที่อาศัยสิ่งใหม่และสิ่งเก่า (Digital business is doing new
things with old things) หมายความว่าต้องอาศัยความคิดของคนรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์ด้านดิจิทัลสูง
และประสบการณ์ของคนรุ่นเก่าที่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เมื่อทั้งสองมารวมกันจึงจะเกิดนวัตกรรมใหม่ที่นำไปสู่การปฏิรูปทางธุรกิจได้
ดังนั้น การส่งเสริมให้ธุรกิจทำ Business transformation จึงควรเริ่มด้วยกิจกรรมสองเรื่องดังนี้
5.1
ส่งเสริมให้เกิดกลุ่ม
Digital entrepreneurs จำนวนมาก
เพื่อให้คนรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์ในด้านดิจิทัลจำนวนมากมีโอกาสร่วมพัฒนาสนองยุทธศาสตร์ด้านดิจิทัลเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
จำเป็นที่รัฐบาลต้องจัดทำแผนการส่งเสริมกลุ่มธุรกิจเกิดใหม่ที่เรียกว่า Digital
Entrepreneurs ซึ่งหมายถึงกลุ่มผู้ประกอบใหม่ที่มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการปฏิรูปธุรกิจ
สามารถถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ด้านดิจิทัลเทคโนโลยีให้แก่นักธุรกิจเพื่อสร้างสรรค์และปรับปรุงธุรกิจเน้นที่การสร้างนวัตกรรมด้านรูปแบบธุรกิจ
(Business Model Innovation) และนวัตกรรมด้านกระบวนการ (Business
Processes Innovation)
5.2
ส่งเสริมการเรียนรู้แนวทางการทำ
Business transformation
ให้มีสถาบันและหน่วยงานที่มีทักษะด้านสร้างนวัตกรรมเพื่อการปฏิรูปธุรกิจบนพื้นฐานของดิจิทัลเทคโนโลยี
ทำหน้าที่ถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ ให้มี Center
of Excellence ที่ทำหน้าที่วิจัยและสร้างนวัตกรรมในด้านรูปแบบธุรกิจใหม่
ๆ ที่มีผลต่อการปฏิรูปธุรกิจที่ทันสมัยและยั่งยืน
6.
ส่งเสริมให้มีการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ระดับสูง
การปฏิรูปธุรกิจจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ที่มีศักยภาพและทันสมัย
เช่น Complex event processes, Advanced data analytics, agent
based business processes, etc. เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ระดับสูงเป็นปัจจัยสำคัญเพื่อการสนับสนุนนวัตกรรมบริการในระบบ
Digital Business ที่คนไทยจำเป็นต้องพัฒนาขึ้นเองเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ต่างประเทศ รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการที่จะส่งเสริมให้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยให้สามารถพัฒนาเพื่อพึ่งพาตนเองในกลุ่มเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ระดับสูงที่ทันสมัย
เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศได้
ทั้งหมดที่กล่าว ถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์เบื้องต้นที่จะเร่งผลักดันให้ภาคธุรกิจได้เตรียมความพร้อมในการร่วมพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล
ด้วยการส่งเสริมและช่วยเหลือจากภาครัฐ ตามกรอบทิศทางที่กล่าว และด้วยมาตรการที่จะกำหนดต่อไป
No comments:
Post a Comment