Sunday, April 28, 2013

Cloud Maturity Model ตอนที่ 2

ในบทความตอนที่ 1 ได้พูดถึงความสำคัญของ Cloud Maturity Model และนำเสนอกรอบความคิดที่เรียบเรียงจากบริษัท OnX[1]  โดยกำหนดหลักไมล์หรือเป้าหมายการพัฒนาความสามารถการใช้คลาวด์เป็น 5 ขั้นภายใต้การจัดการไอซีที 4 ด้าน และได้นำเสนอรูปแบบของ Maturity Model ด้านโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีไปแล้ว ในบทความตอนที่ 2 จะนำเสนอ Maturity Model เกี่ยวกับการจัดการไอซีทีด้านที่ 2 คือระบบงานประยุกต์ หรือ Applications

2.          วุฒิภาวะองค์กรด้านคลาวด์ส่วนที่เกี่ยวกับระบบงานประยุกต์หรือแอพพลิเคชั่น
2.1.      ระดับที่ 1  ระดับเริ่มต้น (Traditional) เป็นระดับที่องค์กรเริ่มให้ความสนใจบริการคลาวด์ และอยู่ในระหว่างการเรียนรู้ ระบบซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ใช้อยู่ในองค์กรยังเป็นแบบเดิมที่ทำงานอิงกับเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ การเชื่อมโยงทรัพยากรคอมพิวเตอร์ทั้งภายในและภายนอกยังใช้วิธีผูกกับคำสั่งโดยตรง (Hard code) ระบบซอฟต์แวร์ทำงานไม่ยืดหยุ่น และใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์อย่างสิ้นเปลือง เช่นการจับจองพื้นที่บันทึกข้อมูล ยังใช้วิธีแบ่งส่วนแบบตายตัว เป็นเหตุให้ต้องเพิ่มขนาดของอุปกรณ์เช่นหน่วยบันทึกข้อมูลอย่างต่อเนื่องและไม่ประหยัด
2.2.      ระดับที่ 2  ระดับที่เริ่มใช้เทคโนโลยีเสมือน (Virtualization) ในระดับนี้องค์กรเริ่มทดลองใช้ระบบงานประยุกต์กับเทคโนโลยีเสมือน (Virtualization) แต่งานส่วนใหญ่ก็ยังทำงานในลักษณะแบบเดิมที่เชื่อมโยงกับทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยตรง ยังทำงานที่ขาดความยืดหยุ่น
2.3.      ระดับที่ 3 ระดับแยกตัวเป็นอิสระ (Abstracted) ในระดับนี้ องค์กรมีความมั่นใจในเทคโนโลยีเสมือน (Virtualization)  และเพิ่มการโอนย้ายระบบงานประยุกต์มาใช้เทคโนโลยีเสมือนมากขึ้น เริ่มทดลองใช้บริการซอฟต์แวร์จากคลาวด์ในรูป Software as a Service (SaaS) และเริ่มทดลองพัฒนาโปรแกรมผ่านบริการแบบ Platform as a Service (PaaS)  เริ่มปรับเปลี่ยนระบบจัดการระบุตัวตน (Identity management) ให้เป็นระบบที่บริหารจากส่วนกลาง ในลักษณะ Single sign-on (SSO) ด้วยเทคโนโลยีระบุตัวตนแบบเปิด (Open protocol) เริ่มพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ให้เป็น SOA มากขึ้น
2.4.      ระดับที่ 4 เป็นระดับมีความยืดหยุ่น (Flexibility) ในระดับนี้ องค์กรได้โอนย้ายระบบงานประยุกต์ไปใช้บริการคลาวด์มากขึ้น ระบบซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่ปรับปรุงให้มีโครงสร้างแบบ SOA และมีการประยุกต์ใช้ BPM เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน (Reconfiguration) ให้บริการผู้ใช้ระบบงานด้วยเทคโนโลยีเว็บและ Thin client เช่นอุปกรณ์พกพา (Mobile devices) มากขึ้น สามารถจัดการให้บริการระบุตัวตนแบบรวมศูนย์ (Federated identity management) ได้เต็มรูปแบบ
2.5.      ระดับที่ 5 เป็นระดับเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimized) ในระดับนี้งานไอทีเริ่มกระจายไปอยู่กับคลาวด์หลาย ๆ ระบบ มีทั้งคลาวด์ส่วนตัว และไฮบริด (Hybrid clouds) ทั้งคลาวด์ที่บริการด้วยตนเอง และบริการจากศูนย์บริการภายนอก  สามารถให้บริการเชื่อมโยงกับลูกค้าและพันธมิตรผ่านคลาวด์แบบบูรณาการได้ เป็นลักษณะการบริการคลาวด์แบบสมบูรณ์แบบ คือสามารถจัดสรรทรัพยากรให้แก่ผู้ใช้ตามความจำเป็นโดยอัตโนมัติ และเมื่อซอฟต์แวร์ส่วนใดทำงานเสร็จสิ้นลง ทรัพยากรที่ใช้ทั้งหมดจะถูกส่งคืนให้ส่วนกลางเพื่อจัดสรรให้งานอื่นต่อไป 

การออกแบบระบบซอฟต์แวร์เพื่อให้บริการผ่านคลาวด์คอมพิวติงในรูปแบบ Software as a Service (SaaS) ต้องคำนึงถึงการประหยัดจากการใช้ทรัพยากรร่วมกัน ประเด็นสำคัญคือความสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันเพื่อให้เกิดความประหยัด การประหยัดส่วนใหญ่เกิดจากการบำรุงรักษาระบบซอฟต์แวร์ตลอดช่วงอายุการใช้งาน โดยเฉพาะการ Upgrade ที่มักจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ดังนั้นระบบซอฟต์แวร์ที่จะให้บริการแบบ SaaS จึงควรมีสถาปัตยกรรมแบบ Multi-tenant คือระบบซอฟต์แวร์ชุดเดียวแต่ให้บริการคนหลาย ๆ คนในขณะเดียวกันได้ เพื่อบริการผู้ใช้ได้จำนวนมาก (Scaling) ระบบซอฟต์แวร์ถูกออกแบบให้แยกทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์หลาย ๆ ตัว (Horizontal scaling) ซึ่งต่างจากการใช้ซอฟต์แวร์แบบเดิม ที่มีการติดตั้งระบบซอฟต์แวร์ให้ลูกค้าเฉพาะราย โดยซอฟต์แวร์แต่ละชุดจะปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย (Configure) 

ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ประยุกต์ผ่าน Cloud computing บางรายอาจไม่บริการลูกค้าด้วยซอฟต์แวร์แบบ Multi-tenant แต่จะใช้เทคโนโลยีเช่น Virtualization แทน โดยติดตั้งซอฟต์แวร์หนึ่งชุดต่อ Virtual Machine หนึ่งตัว ในกรณีหลังนี้ต้นทุนการดูแลรักษาระบบจะสูงกว่ามาก เมื่อมีลูกค้าจำนวนมากขึ้น เนื่องจากการทำ Software Maintenance เป็นรายตัว โดยสรุปแล้ว SaaS ที่ให้บริการผ่านคลาวด์ควรมีคุณลักษณะอย่างน้อยดังต่อไปนี้
1.          Multi-tenancy
Multi-tenancy เป็นสถาปัตยกรรมของซอฟต์แวร์ชุดหนึ่งที่สามารถบริการผู้ใช้ได้หลาย ๆ คน โดยผู้ใช้อยู่ต่างองค์กรและมีข้อกำหนดคุณสมบัติของระบบซอฟต์แวร์บางอย่างแตกต่างกันได้ (ผู้ใช้คนหนึ่ง ๆ เรียกว่าเป็นหนึ่ง Tenant) ผู้ใช้มีสิทธิที่จะปรับแก้คุณสมบัติของระบบซอฟต์แวร์บางอย่างได้ เช่น Business rules, หน้าตาสีสันของ User interface แต่ผู้ใช้ไม่ได้สิทธิ์ที่จะแก้ไขคำสั่งของระบบซอฟต์แวร์โดยตรงได้
2.          การเปลี่ยนรูปแบบและการปรับแต่ง (Configuration and customization)
ระบบซอฟต์แวร์ที่ให้บริการแบบ SaaS ต้องให้ลูกค้าปรับแต่งคุณลักษณะเฉพาะได้ด้วยวิธีเปลี่ยนรูปแบบ (Configuration) โดยอาศัยการเปลี่ยนค่าพารามิเตอร์ (Parameters)  ระบบจะเก็บรักษาค่าพารามิเตอร์ของลูกค้ารายตัวไว้  เป็นผลให้ระบบซอฟต์แวร์ทำงานแตกต่างกันตามค่าของพารามิเตอร์  ความสามารถให้บริการปรับแต่งคุณลักษณะของระบบซอฟต์แวร์นั้นขึ้นอยู่กับการออกแบบให้ระบบรับพารามิเตอร์ที่หลากหลายได้
3.          ความสามารถบริการด้วยฟีเจอร์ (Features) ใหม่ ๆ (Accelerated feature delivery)
ผู้ให้บริการ SaaS มักต้องเพิ่มฟังชั่นฟีเจอร์เพื่อให้ระบบซอฟต์แวร์มีคุณค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  เนื่องจากระบบซอฟต์แวร์ให้บริการแบบ Multi-tenant คือมีชุดเดียวแต่บริการลูกค้าได้หลาย ๆ คน การปรับเพิ่มฟังชั่นฟีเจอร์จึงทำโดยผู้ให้บริการเพียงจุดเดียว  แต่มีผลต่อผู้ใช้ทุกคน ทำให้มีค่าใช้จ่ายต่ำมาก
4.          ทำงานบูรณาการด้วยโปรโตคอล (Protocols) ที่เป็นระบบเปิด (Open integration protocols)
เนื่องจากระบบซอฟต์แวร์ SaaS ถูกออกแบบไม่ให้เข้าถึงระบบฐานข้อมูลและระบบซอฟต์แวร์ของระบบงานอื่นที่เป็นพันธมิตรโดยตรงด้วยเหตุผลทางด้านความมั่นคงปลอดภัย การทำงานบูรณาการจึงต้องทำผ่านอินเตอร์เฟซ (Interfaces) อาศัยโปรโตคอลที่เป็นมาตรฐานเช่น HTTP, REST, SOAP and JSON ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่นิยมใช้กับซอฟต์แวร์ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรม Service Oriented Architecture (SOA) และ Web Oriented Architecture (WOA) การใช้ระบบงาน SaaS ที่แพร่หลายร่วมกับการบริการอินเทอร์เน็ตและมาตรฐาน Application Programming Interfaces (API) ทำให้เกิดแนวทางพัฒนาซอฟต์แวร์รูปแบบใหม่แบบผสมผสาน (Mashup)  ซึ่งเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ผสมข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งเพื่อนำเสนอให้ผู้ใช้ข้อมูลได้ง่าย ๆ  ซอฟต์แวร์ที่ให้บริการแบบ SaaS จึงให้คุณค่ามากกว่าระบบซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบด้วยวิธีเดิม

ตอนต่อไป จะพูดถึง Cloud Maturity Model ที่เกี่ยวข้องกับ  IT Business Processes และ Financial model




Tuesday, April 9, 2013

Cloud Maturity Model ตอนที่ 1



องค์กรที่จะใช้คลาวด์ต้องผ่านกระบวนการพัฒนาความสามารถอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ความยุ่งยากไม่ได้อยู่ที่ตัวเทคโนโลยี แต่อยู่ที่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีจัดการการใช้ไอซีที รวมทั้งปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีและโครงสร้างพื้นฐานของระบบซอฟต์แวร์ ที่สำคัญต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณจากการลงทุนมาเป็นค่าใช้จ่ายที่ประมาณการได้ยาก  Cloud Maturity Model ถูกนำมาใช้ประเมินความพร้อมขององค์กร และยังถูกใช้เป็นกรอบเพื่อการพัฒนาความสามารถด้านคลาวด์คอมพิวติง บทความชุดนี้จะนำเสนอแนวคิดของ Cloud Maturity Model และหลักไมล์ที่ใช้เป็นเป้าหมายเพื่อการพัฒนาความสามารถด้านคลาวด์คอมพิวติงขององค์กร

สถานภาพการใช้และการให้บริการคลาวด์ของไทย
จากการศึกษาและติดตามพัฒนาการการใช้บริการและการให้บริการคลาวด์ของไทย พบว่าส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น และยังห่างไกลจากลักษณะการบริการตามคำนิยามของ NIST (National Institute of Standards and Technology) ที่ได้เคยนำเสนอไว้แล้วในบทความตอนก่อน ๆ  ซึ่งแนะนำให้แบ่งคุณสมบัติสำคัญ (Essential characteristics) ของบริการคลาวด์เป็นห้าประการดังนี้

1.          ผู้ใช้สามารถบริการด้วยตัวเองเพื่อเพิ่มลดทรัพยากรไอซีทีตามความต้องการได้ (On-demand self-service)
2.          ผู้ใช้สามารถใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายความเร็วสูงได้ (Broad network access)
3.          ผู้ใช้ใช้ทรัพยากรไอซีทีร่วมกับผู้อื่นผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกันจากที่ต่าง ๆได้ (Resource pooling)
4.          ผู้ใช้ได้รับจัดสรรทรัพยากรไอซีทีมากน้อยตามความต้องการได้ (Rapid elasticity)
5.          มีระบบวัดปริมาณและระยะเวลาการใช้บริการ (Measured service) เพื่อคำนวณค่าบริการที่ใช้ตามความเป็นจริงได้

จากการสำรวจของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พบว่าผู้ให้บริการคลาวด์ของไทยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถให้บริการแบบ On-demand self-service และแบบ Rapid elasticity ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ลงทุนระบบวัดปริมาณการใช้งานแบบเรียวไทม์ (Measured service) ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้เองก็ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการทดลองใช้ และกำลังศึกษาผลของการใช้บริการคลาวด์  ในส่วนเกี่ยวกับรูปแบบบริการ (Service Model) นั้น พบว่า SaaS ส่วนใหญ่เป็นแค่นำระบบซอฟต์แวร์เดิมขึ้นคลาวด์ให้บริการในลักษณะ Single instance ยังไม่สามารถปรับให้บริการแบบ Multi-tenants ได้ และจำนวนหนึ่งเป็นการให้บริการด้วยระบบ Web apps ผ่านอินเทอร์เน็ต  สำหรับบริการ PaaS นั้น ส่วนมากเป็นบริการของบริษัทข้ามชาติจากศูนย์คอมพิวเตอร์ในต่างประเทศ การใช้ PaaS เป็น Development platform ก็ยังมีไม่มาก เนื่องจากผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ประยุกต์งานที่อิงกับแพลตฟอร์มอย่างจริงจัง  ศูนย์บริการคลาวด์ของคนไทยที่ให้บริการ PaaS พอมีบ้าง แต่เนื่องจากไม่ได้เป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม จึงให้บริการเพียงแค่กลุ่มแพลตฟอร์มที่เป็น Open source software  สำหรับการบริการรูปแบบ IaaS นั้นถึงแม้จะเป็นธุรกิจหลักของผู้ให้บริการคลาวด์ในขณะนี้ แต่ก็เพียงแค่ให้บริการเช่าใช้ทรัพยากรไอซีทีผ่านอินเทอร์เน็ต ยังไม่สามารถให้บริการครบคุณสมบัติสำคัญ (Essential characteristics) ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น

ในด้านผู้ใช้ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระยะศึกษาเพื่อกำหนดกลยุทธ์ ที่เริ่มทดลองใช้แล้วนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นงานขนาดเล็ก เมื่อถูกสอบถามส่วนใหญ่ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไม่มั่นใจในความปลอดภัย และยังไม่ชัดเจนในด้านประโยชน์ที่แท้จริง ความเข้าใจ Cloud Maturity Model จะสามารถช่วยองค์กรพัฒนาความสามารถด้านคลาวด์คอมพิวติงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อปรับใช้ไอซีทีรูปแบบใหม่อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

การใช้คลาวด์จำเป็นต้องมีการเตรียมตัว

องค์กรที่จะใช้คลาวด์ต้องมีการเตรียมตัวและปรับตัว ไม่ใช่เพื่อรับมือกับความยากของเทคโนโลยี แต่เพื่อสร้างความพร้อมด้านการจัดการและการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การเปลี่ยนแนวทางจัดการการลงทุนในสินทรัพย์ จนถึงการจัดการกับทรัพยากรไอซีทีและกระบวนการให้บริการไอซีทีในองค์กร ยกตัวอย่างเช่น การใช้ Private cloud ไม่ใช่เพียงแค่ซื้อเทคโนโลยี Virtualization เพื่อนำ Server, storage, และ networks มาใช้ร่วมกัน แต่ความสำคัญอยู่ที่สามารถอำนวยการให้บริการผู้ใช้ด้วยทรัพยากรไอซีทีที่ต้องการแบบ On-demand เพื่อตอบโจทย์ของธุรกิจได้  คุณค่าของ Private cloud อยู่ที่สามารถจัดการทรัพยากรไอซีทีเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็วและทันเหตุการณ์ ประโยชน์ของคลาวด์ไม่ได้จำกัดอยู่ที่สามารถจัดการทรัพยากรไอซีทีอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อความประหยัด แต่เป็นการใช้ไอซีทีแนวใหม่ที่ต้องการพัฒนาธุรกิจเพื่อสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภคและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน การเตรียมความพร้อมเพื่อการใช้คลาวด์จึงเป็นเรื่องของการพัฒนาแนวทางการจัดการรูปแบบใหม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องการเรียนรู้เทคโนโลยีสาขาใหม่ การสร้างความพร้อมเพื่อใช้คลาวด์คอมพิวติงจึงต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน เป็นการ migrate กระบวนวิธีใช้ไอซีทีจากวิธีเดิมไปสู่วิธีใหม่ที่เปลี่ยนรูปแบบทั้งโครงสร้างพื้นฐานไอซีที โครงสร้างของระบบซอฟต์แวร์ที่ใช้ ตลอดจนแนวทางจัดการบริการไอซีทีให้แก่ผู้ใช้ทุกระดับในองค์กร

ในรอบหลายปีที่ผ่านมา  ได้มีการพัฒนากรอบแนวคิดเพื่อช่วยธุรกิจทำ Migration จากการใช้ไอซีทีแบบดั่งเดิมไปสู่คลาวด์คอมพิวติง ภายใต้ชื่อ “Cloud Maturity Model หรือวุฒิภาวการณ์ใช้คลาวด์  ถึงแม้กรอบแนวคิดจะมีหลายหลาย แต่ก็คล้ายคลึงกัน  แตกต่างกันเพียงในรายละเอียด กรอบแนวคิดเหล่านี้ นอกจากจะเป็นเครื่องมือช่วยประเมินความพร้อมของการใช้คลาวด์ ยังสามารถใช้เป็นกรอบเพื่อการพัฒนาการไปสู่การใช้คลาวด์คอมพิวติงแบบเต็มรูปแบบได้ ในบทความนี้ จะนำเสนอกรอบความคิดที่เรียบเรียงจากบริษัท OnX[1]  โดยกำหนดหลักไมล์หรือเป้าหมายการพัฒนาความสามารถการใช้คลาวด์เป็น 5 ขั้นภายใต้คุณลักษณะการจัดการด้านใช้ไอซีที 4 ด้าน เมื่อนำทั้งสองส่วนรวมกัน จะกลายเป็นกรอบเพื่อการประเมินวุฒิภาวะของการใช้คลาวด์ (Cloud Maturity Model) 5 ระดับดังรายละเอียดที่จะนำเสนอต่อไป

หลักไมล์เพื่อการพัฒนาความสามารถการใช้คลาวด์ (Primary migration milestones)

องค์กรอาจกำหนดหลักไมล์หรือเป้าหมายเพื่อการพัฒนาความสามารถการใช้คลาวด์เป็น 5 ขั้น รายละเอียดที่ปรากฏข้างล่างเป็นคุณสมบัติและความสามารถด้านไอซีที (ICT Capability) ขององค์กรในแต่ละหลักไมล์ในบริบทของการใช้คลาวด์
1.          หลักไมล์ที่ 1  ขั้นเริ่มต้น (Initial) องค์กรที่ใช้ไอซีทีอยู่แล้วและเริ่มให้ความสนใจคลาวด์คอมพิวติงถือว่าอยู่ในขั้นที่ 1 หมด  ณ ระดับนี้ องค์กรยังคงให้บริการไอซีทีแก่ผู้ใช้ด้วยโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีแบบเดิม ภายใต้อำนวยการของหน่วยงานไอซีที หรือแผนกไอซีทีรูปแบบเดิม องค์กรยังคงให้ความสำคัญกับความเป็นเจ้าของทรัพยากรไอซีที เช่น Servers, data storage, network ฯลฯ ระบบงานคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำงานยังคงอิงกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ในองค์กรทั้งหมด
2.          หลักไมล์ที่ 2  ขั้นเริ่มใช้เทคโนโลยีเสมือน (Virtualization) ในขั้นนี้ องค์กรเข้าใจประโยชน์ของเทคโนโลยีเสมือน และเริ่มนำ Virtualization รูปแบบต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะ Virtual server,  virtual storage และ virtual network การจัดการไอซีทียังคงให้ความสำคัญที่ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีมากกว่าผลลัพธ์ที่จะได้จากเทคโนโลยี  การใช้ Virtualization จึงเป็นเพื่อการจัดการทรัพยากรไอซีทีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น
3.          หลักไมล์ที่ 3 ขั้นแยกตัวเป็นอิสระ (Abstracted) ในขั้นนี้ องค์กรเริ่มปรับโครงสร้างของระบบงานให้เป็นอิสระจากระบบฮาร์ดแวร์ด้วย Virtualization ระบบซอฟต์แวร์ที่พัฒนาใหม่เริ่มใช้เทคนิค Loose coupling หรือผูกติดกันอย่างหลวม ๆ เช่นแยกคำสั่งให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (What) ออกจากกลุ่มคำสั่งที่ทำงานในเชิงรายละเอียด (How) โปรแกรมส่วน How คือซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่บริการ ในขณะที่ What เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ (Business processes) การใช้เทคนิค Virtualization รวมกับซอฟต์แวร์ที่มีโครงสร้างเป็น Service orientation เป็นจุดเริ่มต้นของความยืดหยุ่น (Flexibility) ในระดับนี้ องค์กรเริ่มจะทดลองใช้บริการคลาวด์คอมพิวติงในงานที่ไม่สลับซับซ้อนเพื่อการเรียนรู้
4.          หลักไมล์ที่ 4 ขั้นมีความยืดหยุ่น (Flexibility) ในขั้นนี้ องค์กรได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีด้าน Business Process Management (BPM) และซอฟต์แวร์ที่มีสถาปัตยกรรมเชิงบริการ (SOA) มากขึ้น ทำให้ระบบงานเกิดความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ของตลาดได้ นำไปสู่การใช้บริการคลาวด์ส่วนตัวเพื่อบูรณาการระบบงานภายใน  และเริ่มได้ประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรไอซีทีแบบจัดสรรตามความต้องการโดยอัตโนมัติตามระยะเวลาและชนิดซอฟต์แวร์ที่ใช้ องค์กรมีความคุ้นเคยกับการจัดการคุณภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีและระบบงานด้วยมาตรการที่เป็นพันธะสัญญาด้านบริการ (Service Level Agreement) ระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้ให้บริการ ทั้งหมดเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การประยุกต์ใช้คลาวด์อย่างเต็มรูปแบบต่อไป
5.          หลักไมล์ที่ 5 ขั้นเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimized) ในขั้นนี้ผู้บริหารทุกระดับเริ่มเข้าใจประโยชน์ของคลาวด์คอมพิวติงและต้องการเพิ่มคุณค่าให้แก่ธุรกิจด้วยแนวคิดใหม่ ๆ ในเชิงการตลาดและการสร้างคุณค่าให้ผู้บริโภค เป็นการใช้บริการคลาวด์เพื่อบูรณาการกับกระบวนการสร้างคุณค่าแบบจากต้นจนจบ (End-to-end processes) ร่วมกับพันธมิตรและลูกค้า คุณสมบัติของระบบงานไอซีทีที่สำคัญคือ กลุ่มชิ้นส่วนซอฟต์แวร์มีลักษณะเป็นซอฟต์แวร์ที่ทำงานเชิงบริการ ใช้มาตรฐานเพื่อทำงานร่วมกัน (Interoperability) ระหว่างคลาวด์หลายระบบได้  และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับไอซีทีนั้นมากน้อยเป็นไปตามปริมาณที่ใช้จริง มีการคำนวณค่าใช้จ่ายแบบบริการสาธารณูปโภค

หลักไมล์เพื่อการพัฒนาความสามารถการใช้คลาวด์ทั้ง 5 ขั้นที่กล่าวถูกนำมาใช้เพื่อการประเมินผล และพัฒนาความสามารถการใช้คลาวด์ในบริบทของการจัดการไอซีที 4 ด้านประกอบด้วย  1) ด้านเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานไอซีที 2) ด้านเกี่ยวกับระบบงานประยุกต์หรือแอพพลิเคชั่น 3) ด้านเกี่ยวกับกระบวนการทำงานด้านไอซีที และ 4) ด้านเกี่ยวกับการเงิน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1.          ด้านเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานไอซีที
องค์กรที่จะเตรียมพร้อมสู่การใช้คลาวด์นั้น ต้องเริ่มปรับกลยุทธ์เกี่ยวกับการจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอซีที กล่าวคือระบบฮาร์ดแวร์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เครื่องบันทึกข้อมูล และอุปกรณ์เครือข่าย ต้องค่อย ๆ ปรับเข้าสู่การรวมตัวเป็นกองกลาง เพื่อจัดสรรให้แก่ระบบงานต่าง ๆ ตามความต้องการแบบอัตโนมัติได้โดยอาศัยเทคโนโลยีแบบเสมือน หรือ Virtualization  ระบบงานใด ๆ ต้องไม่ถูกกำหนดให้ทำงานผูกติดกับระบบฮาร์ดแวร์ส่วนใดโดยเฉพาะ ต้องสามารถจัดสรรทรัพยากรไอซีทีอย่างอิสระ การทำงานอย่างอิสระของระบบงาน โดยไม่ผูกติดกับอุปกรณ์ใด ๆ (Abstraction) ถือเป็นก้าวสำคัญของพัฒนาการสู่การใช้บริการคลาวด์
2.          ด้านเกี่ยวกับระบบงานประยุกต์หรือแอพพลิเคชั่น
เช่นเดียวกันกับโครงสร้างพื้นฐานไอซีที การเตรียมพร้อมสู่การใช้คลาวด์นั้น องค์กรต้องเริ่มปรับปรุงให้ระบบซอฟต์แวร์ทั้งหลายมีลักษณะทำงานเชิงบริการ (Service orientation) และต้องทำงานเป็นอิสระ คือไม่ผูกติดกับอุปกรณ์ใด ๆ (Abstraction)  ถึงแม้ในบางกรณี โดยเงื่อนไขหรือกฎระเบียบขององค์กรเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัย ที่เป็นเหตุให้ต้องจัดระบบไอซีทีทำงานภายในกรอบจำกัดเฉพาะก็ตาม มาตรการที่ให้ระบบทำงานโดยอิสระ คือไม่ยึดติดกันกับส่วนต่าง ๆ ของระบบงานฮาร์ดแวร์ก็ยังอาจมีความจำเป็น  มิฉะนั้นการปรับใช้บริการคลาวด์อาจมีความยุ่งยากและสลับซับซ้อนมากขึ้น
3.          ด้านเกี่ยวกับกระบวนการทำงานด้านไอซีที
การเตรียมตัวเพื่อใช้คลาวด์นั้น ต้องมีการปรับกลยุทธ์ในด้านจัดการไอซีทีเป็นอย่างมาก  กระบวนการทำงานด้านไอซีทีรูปแบบเดิมมักจะเน้นความมั่นคงปลอดภัย โดยเฉพาะการควบคุมการเข้าถึงระบบข้อมูลและระบบงานเพื่อกันการบุกรุกจากบุคคลภายนอก นอกจากนี้ยังเน้นความสำคัญในการจัดการสินทรัพย์ด้านไอซีที ตั้งแต่การบริหารงบประมาณ การจัดการสัญญากับผู้จำหน่ายและผู้ให้บริการ จัดการประสิทธิภาพและความสามารถของระบบไอซีที ตลอดจัดการการใช้งานตลอดทั้งวงจรชีวิตของระบบโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีอย่างเข้มงวด  แต่กระบวนการทำงานด้านไอซีทีในบริบทของคลาวด์คอมพิวติงจะเปลี่ยนจากเดิมมาก องค์กรต้องเตรียมปรับตัวให้รับกับแนวคิดด้านจัดการกับกลุ่มซอฟต์แวร์ที่ทำงานในเชิงบริการ การจัดการคุณภาพของไอซีทีภายใต้เงื่อนไขของพันธะสัญญาบริการที่ทำกับผู้ให้บริการ การบริหารความเสี่ยง ตลอดจนการจัดการอย่างมีธรรมภิบาลเกี่ยวกับการใช้ไอซีทีภายใต้ระบบนิเวศไอซีทีของคลาวด์คอมพิวติง
4.          ด้านเกี่ยวกับการเงิน
อีกสิ่งหนึ่งที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเมื่อองค์กรเริ่มปรับเปลี่ยนมาใช้บริการคลาวด์ คือเรื่องการจัดการงบประมาณและการคำนวณค่าใช้จ่าย  แต่เดิมองค์กรจะคุ้นเคยกับงบลงทุนเพื่อจัดหาอุปกรณ์ไอซีที และมีค่าบำรุงรักษาเป็นค่าใช้จ่าย แต่รูปแบบคลาวด์นั้นเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้งานจริงทั้งหมด ซึ่งประมาณล่วงหน้าได้ยากกว่า

วุฒิภาวะการใช้คลาวด์ (Cloud Maturity Model)

วุฒิภาวะการใช้คลาวด์เป็นการประเมินความสามารถปรับเปลี่ยนสู่การใช้คลาวด์ใน 4 เรื่อง โดยยึดหลักไมล์ทั้ง 5 ที่กล่าวมาข้างต้น ดังรายละเอียดดังนี้

1.          วุฒิภาวะส่วนที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานไอซีที (Infrastructure)
1.1.      ระดับที่ 1  ระดับเริ่มต้น (Traditional) เป็นระดับที่องค์กรเริ่มให้ความสนใจเรื่องคลาวด์ และอยู่ในระหว่างการเรียนรู้ แต่องค์กรยังจัดการกับการใช้ทรัพยากรไอซีทีแบบเดิม กล่าวคือยังมีการจัดสรรทรัพยากรเช่นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เครื่องบันทึกข้อมูล และอุปกรณ์เครือข่ายที่ผูกพันกับระบบงาน การจัดการโครงสร้างพื้นฐานไอซีทียังเน้นการใช้อุปกรณ์อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด โดยไม่ได้คำนึงถึงผลทางธุรกิจมากนัก
1.2.      ระดับที่ 2  ระดับที่เริ่มใช้เทคโนโลยีเสมือน (Virtualization) ในระดับนี้องค์กรเริ่มเข้าใจคลาวด์ในระดับหนึ่ง องค์กรเริ่มทดลองใช้เทคโนโลยีเสมือน (Virtualization) เพื่อการใช้ทรัพยากรไอซีทีร่วมกัน โครงสร้างพื้นฐานไอซีทีในช่วงนี้จึงปนกันระหว่างอุปกรณ์ที่ทำงานในสภาพเดิม และที่ทำงานด้วยเทคโนโลยีเสมือนภายใต้ซอฟต์แวร์อำนวยการ เช่น Hypervisor ของ VMware เป็นต้น
1.3.      ระดับที่ 3 ระดับแยกตัวเป็นอิสระ (Abstracted) ในระดับนี้ องค์กรมีความชำนาญด้านการใช้เทคโนโลยีเสมือนมากขึ้น งานส่วนใหญ่ทำงานอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมของเทคโนโลยีเสมือน การจัดสรรทรัพยากรให้แก่ระบบงานไอซีทีทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบงานส่วนใหญ่ไม่ได้ผูกติดกับอุปกรณ์ไอซีทีเหมือนอย่างเคย
1.4.      ระดับที่ 4 เป็นระดับมีความยืดหยุ่น (Flexibility) ในระดับนี้ องค์กรเริ่มโอนย้ายงานบางอย่างไปทำงานอยู่บนคลาวด์  ส่วนใหญ่เป็นงานประเภทที่ไม่ใช่ภารกิจหลักขององค์กร เช่นงาน Enterprise 2.0 เพื่อการทำงานร่วมกัน และระบบอีเมล์ รูปแบบบริการที่ใช้เป็นได้ทั้ง IaaS, PaaS, และ SaaS  โดยมีรูปแบบการใช้งาน (Deployment model) ทั้งที่เป็น Private cloud, Public cloud และ Hybrid cloud ปนกัน
1.5.      ระดับที่ 5 เป็นระดับเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimized) ในระดับนี้โครงสร้างพื้นฐานไอซีทีขององค์กรจะอิงกับบริการคลาวด์เป็นส่วนใหญ่ ระบบจัดการด้านโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีสามารถจัดสรรทรัพยากรตามความจำเป็นโดยอัตโนมัติ และเมื่อซอฟต์แวร์ส่วนใดได้ทำงานเสร็จสิ้นลง ทรัพยากรที่ใช้ทั้งหมดจะถูกส่งคืนให้ส่วนกลางเพื่อจัดสรรให้งานอื่นต่อไป ระบบคลาวด์จะทำงานภายใต้โปรโตคอลที่เป็นมาตรฐาน สามารถทำงานร่วมกับคลาวด์ชุดอื่น ๆ ได้

ตอนต่อไป จะพูดถึง Cloud Maturity Model ที่เกี่ยวข้องกับ Applications, IT Business Processes และ Financial model