ในบทความตอนที่ 1 ได้พูดถึงความสำคัญของ Cloud
Maturity Model และนำเสนอกรอบความคิดที่เรียบเรียงจากบริษัท OnX[1] โดยกำหนดหลักไมล์หรือเป้าหมายการพัฒนาความสามารถการใช้คลาวด์เป็น
5 ขั้นภายใต้การจัดการไอซีที 4 ด้าน และได้นำเสนอรูปแบบของ
Maturity Model ด้านโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีไปแล้ว
ในบทความตอนที่ 2 จะนำเสนอ Maturity Model เกี่ยวกับการจัดการไอซีทีด้านที่ 2 คือระบบงานประยุกต์
หรือ Applications
2.
วุฒิภาวะองค์กรด้านคลาวด์ส่วนที่เกี่ยวกับระบบงานประยุกต์หรือแอพพลิเคชั่น
2.1.
ระดับที่
1 ระดับเริ่มต้น
(Traditional) เป็นระดับที่องค์กรเริ่มให้ความสนใจบริการคลาวด์
และอยู่ในระหว่างการเรียนรู้ ระบบซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ใช้อยู่ในองค์กรยังเป็นแบบเดิมที่ทำงานอิงกับเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์
การเชื่อมโยงทรัพยากรคอมพิวเตอร์ทั้งภายในและภายนอกยังใช้วิธีผูกกับคำสั่งโดยตรง (Hard
code) ระบบซอฟต์แวร์ทำงานไม่ยืดหยุ่น และใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์อย่างสิ้นเปลือง
เช่นการจับจองพื้นที่บันทึกข้อมูล ยังใช้วิธีแบ่งส่วนแบบตายตัว
เป็นเหตุให้ต้องเพิ่มขนาดของอุปกรณ์เช่นหน่วยบันทึกข้อมูลอย่างต่อเนื่องและไม่ประหยัด
2.2.
ระดับที่
2 ระดับที่เริ่มใช้เทคโนโลยีเสมือน
(Virtualization) ในระดับนี้องค์กรเริ่มทดลองใช้ระบบงานประยุกต์กับเทคโนโลยีเสมือน
(Virtualization) แต่งานส่วนใหญ่ก็ยังทำงานในลักษณะแบบเดิมที่เชื่อมโยงกับทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยตรง
ยังทำงานที่ขาดความยืดหยุ่น
2.3.
ระดับที่
3 ระดับแยกตัวเป็นอิสระ (Abstracted) ในระดับนี้ องค์กรมีความมั่นใจในเทคโนโลยีเสมือน (Virtualization) และเพิ่มการโอนย้ายระบบงานประยุกต์มาใช้เทคโนโลยีเสมือนมากขึ้น
เริ่มทดลองใช้บริการซอฟต์แวร์จากคลาวด์ในรูป Software as a Service (SaaS) และเริ่มทดลองพัฒนาโปรแกรมผ่านบริการแบบ Platform as a Service
(PaaS) เริ่มปรับเปลี่ยนระบบจัดการระบุตัวตน
(Identity management) ให้เป็นระบบที่บริหารจากส่วนกลาง
ในลักษณะ Single sign-on (SSO)
ด้วยเทคโนโลยีระบุตัวตนแบบเปิด (Open protocol) เริ่มพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ให้เป็น
SOA มากขึ้น
2.4.
ระดับที่
4 เป็นระดับมีความยืดหยุ่น (Flexibility)
ในระดับนี้
องค์กรได้โอนย้ายระบบงานประยุกต์ไปใช้บริการคลาวด์มากขึ้น
ระบบซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่ปรับปรุงให้มีโครงสร้างแบบ SOA และมีการประยุกต์ใช้
BPM เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน (Reconfiguration)
ให้บริการผู้ใช้ระบบงานด้วยเทคโนโลยีเว็บและ Thin client เช่นอุปกรณ์พกพา (Mobile devices) มากขึ้น สามารถจัดการให้บริการระบุตัวตนแบบรวมศูนย์
(Federated identity management) ได้เต็มรูปแบบ
2.5.
ระดับที่
5 เป็นระดับเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimized)
ในระดับนี้งานไอทีเริ่มกระจายไปอยู่กับคลาวด์หลาย ๆ ระบบ
มีทั้งคลาวด์ส่วนตัว และไฮบริด (Hybrid clouds) ทั้งคลาวด์ที่บริการด้วยตนเอง
และบริการจากศูนย์บริการภายนอก
สามารถให้บริการเชื่อมโยงกับลูกค้าและพันธมิตรผ่านคลาวด์แบบบูรณาการได้
เป็นลักษณะการบริการคลาวด์แบบสมบูรณ์แบบ คือสามารถจัดสรรทรัพยากรให้แก่ผู้ใช้ตามความจำเป็นโดยอัตโนมัติ
และเมื่อซอฟต์แวร์ส่วนใดทำงานเสร็จสิ้นลง
ทรัพยากรที่ใช้ทั้งหมดจะถูกส่งคืนให้ส่วนกลางเพื่อจัดสรรให้งานอื่นต่อไป
การออกแบบระบบซอฟต์แวร์เพื่อให้บริการผ่านคลาวด์คอมพิวติงในรูปแบบ
Software as a Service (SaaS) ต้องคำนึงถึงการประหยัดจากการใช้ทรัพยากรร่วมกัน
ประเด็นสำคัญคือความสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันเพื่อให้เกิดความประหยัด
การประหยัดส่วนใหญ่เกิดจากการบำรุงรักษาระบบซอฟต์แวร์ตลอดช่วงอายุการใช้งาน
โดยเฉพาะการ Upgrade ที่มักจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว
ดังนั้นระบบซอฟต์แวร์ที่จะให้บริการแบบ SaaS จึงควรมีสถาปัตยกรรมแบบ
Multi-tenant คือระบบซอฟต์แวร์ชุดเดียวแต่ให้บริการคนหลาย ๆ
คนในขณะเดียวกันได้ เพื่อบริการผู้ใช้ได้จำนวนมาก (Scaling) ระบบซอฟต์แวร์ถูกออกแบบให้แยกทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์หลาย
ๆ ตัว (Horizontal scaling) ซึ่งต่างจากการใช้ซอฟต์แวร์แบบเดิม
ที่มีการติดตั้งระบบซอฟต์แวร์ให้ลูกค้าเฉพาะราย
โดยซอฟต์แวร์แต่ละชุดจะปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย (Configure)
ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ประยุกต์ผ่าน Cloud
computing บางรายอาจไม่บริการลูกค้าด้วยซอฟต์แวร์แบบ Multi-tenant
แต่จะใช้เทคโนโลยีเช่น Virtualization แทน
โดยติดตั้งซอฟต์แวร์หนึ่งชุดต่อ Virtual Machine หนึ่งตัว
ในกรณีหลังนี้ต้นทุนการดูแลรักษาระบบจะสูงกว่ามาก เมื่อมีลูกค้าจำนวนมากขึ้น เนื่องจากการทำ
Software Maintenance เป็นรายตัว โดยสรุปแล้ว SaaS ที่ให้บริการผ่านคลาวด์ควรมีคุณลักษณะอย่างน้อยดังต่อไปนี้
1.
Multi-tenancy
Multi-tenancy เป็นสถาปัตยกรรมของซอฟต์แวร์ชุดหนึ่งที่สามารถบริการผู้ใช้ได้หลาย
ๆ คน
โดยผู้ใช้อยู่ต่างองค์กรและมีข้อกำหนดคุณสมบัติของระบบซอฟต์แวร์บางอย่างแตกต่างกันได้
(ผู้ใช้คนหนึ่ง ๆ เรียกว่าเป็นหนึ่ง Tenant) ผู้ใช้มีสิทธิที่จะปรับแก้คุณสมบัติของระบบซอฟต์แวร์บางอย่างได้ เช่น Business
rules, หน้าตาสีสันของ User interface แต่ผู้ใช้ไม่ได้สิทธิ์ที่จะแก้ไขคำสั่งของระบบซอฟต์แวร์โดยตรงได้
2.
การเปลี่ยนรูปแบบและการปรับแต่ง
(Configuration and customization)
ระบบซอฟต์แวร์ที่ให้บริการแบบ SaaS ต้องให้ลูกค้าปรับแต่งคุณลักษณะเฉพาะได้ด้วยวิธีเปลี่ยนรูปแบบ (Configuration)
โดยอาศัยการเปลี่ยนค่าพารามิเตอร์ (Parameters) ระบบจะเก็บรักษาค่าพารามิเตอร์ของลูกค้ารายตัวไว้
เป็นผลให้ระบบซอฟต์แวร์ทำงานแตกต่างกันตามค่าของพารามิเตอร์
ความสามารถให้บริการปรับแต่งคุณลักษณะของระบบซอฟต์แวร์นั้นขึ้นอยู่กับการออกแบบให้ระบบรับพารามิเตอร์ที่หลากหลายได้
3.
ความสามารถบริการด้วยฟีเจอร์
(Features) ใหม่ ๆ (Accelerated
feature delivery)
ผู้ให้บริการ SaaS มักต้องเพิ่มฟังชั่นฟีเจอร์เพื่อให้ระบบซอฟต์แวร์มีคุณค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ เนื่องจากระบบซอฟต์แวร์ให้บริการแบบ Multi-tenant
คือมีชุดเดียวแต่บริการลูกค้าได้หลาย ๆ คน
การปรับเพิ่มฟังชั่นฟีเจอร์จึงทำโดยผู้ให้บริการเพียงจุดเดียว แต่มีผลต่อผู้ใช้ทุกคน ทำให้มีค่าใช้จ่ายต่ำมาก
4.
ทำงานบูรณาการด้วยโปรโตคอล
(Protocols) ที่เป็นระบบเปิด (Open
integration protocols)
เนื่องจากระบบซอฟต์แวร์ SaaS ถูกออกแบบไม่ให้เข้าถึงระบบฐานข้อมูลและระบบซอฟต์แวร์ของระบบงานอื่นที่เป็นพันธมิตรโดยตรงด้วยเหตุผลทางด้านความมั่นคงปลอดภัย
การทำงานบูรณาการจึงต้องทำผ่านอินเตอร์เฟซ (Interfaces) อาศัยโปรโตคอลที่เป็นมาตรฐานเช่น
HTTP, REST, SOAP and JSON ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่นิยมใช้กับซอฟต์แวร์ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรม
Service Oriented Architecture (SOA) และ Web
Oriented Architecture (WOA) การใช้ระบบงาน SaaS ที่แพร่หลายร่วมกับการบริการอินเทอร์เน็ตและมาตรฐาน Application
Programming Interfaces (API) ทำให้เกิดแนวทางพัฒนาซอฟต์แวร์รูปแบบใหม่แบบผสมผสาน
(Mashup) ซึ่งเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ผสมข้อมูลจากหลาย ๆ
แหล่งเพื่อนำเสนอให้ผู้ใช้ข้อมูลได้ง่าย ๆ
ซอฟต์แวร์ที่ให้บริการแบบ SaaS จึงให้คุณค่ามากกว่าระบบซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบด้วยวิธีเดิม
ตอนต่อไป จะพูดถึง Cloud Maturity Model ที่เกี่ยวข้องกับ IT Business Processes และ Financial
model
No comments:
Post a Comment