Sunday, August 14, 2016

ธุรกิจในศตวรรษที่ 21 เป็นรูปแบบ Cyber-Physical Systems ตอนที่ 5



         บทความตอนที่ 4  ภายใต้หัวข้อ “Cyber-Physical System” ได้กล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลยุคใหม่เชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ในโลกกายภาพด้วยซอฟต์แวร์ในวงกว้าง เป็นผลให้เกิดระบบทำงานแบบอัตโนมัติมิติใหม่ที่สามารถปรับรูปแบบการทำงานตามความเหมาะสมจนนำไปสู่การปฏิรูปธุรกิจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป้าหมายของการปฏิรูปนี้จะเน้นการปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดคุณค่า (Value creation) แก่ผู้บริโภคและผู้ที่เกี่ยวข้อง บทความตอนที่ 5 นี้จะกล่าวถึงบทบาทของชั้น “Digital Layer” หรือ “Digital World” ในโลกธุรกิจสมัยใหม่

3.  บทบาทของชั้นดิจิทัล (Digital Layer) ในโลกธุรกิจสมัยใหม่

ตามที่ได้กล่าวมาตอนต้นว่าธุรกิจจากนี้ไปจะถูกออกแบบให้ทำงานอยู่ในโลกสองใบ คือโลกดิจิทัล (Digital หรือ Cyber World) และโลกกายภาพใบเดิม (Physical World) โลกชั้นดิจิทัลเป็นโลกของข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบให้ทำงานแทนมนุษย์และสามารถปฏิสัมพันธ์กับเครื่องจักรและสรรพสิ่งได้ผ่านอุปกรณ์เช่น Sensors และ Actuators และเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่ม Internet of Things (IoT)



ภาพที่แสดงข้างต้นสื่อให้เห็นว่า IoT จะทำหน้าที่สร้างข้อมูลที่เกี่ยวกับสรรพสิ่งในโลกกายภาพโดยตรง เช่นตัวสินค้า ส่วนประกอบในการบริการโลจิสติกส์ เครื่องจักรในโรงงาน ฯลฯ ตัวสินค้าสามารถบอกตำแหน่งของตนเองภายในคลังสินค้า หรือสินค้าที่บรรทุกอยู่ในรถขนส่งสามารถระบุตำแหน่งในขณะขนส่งรวมทั้งประมาณการณ์ได้ว่าจะถึงตำแหน่งของผู้รับสินค้าภายในอีกกี่ชั่วโมง ข้อมูลเหล่านี้เมื่อถูกสร้างขึ้นแล้วก็จะไปปรากฏอยู่ในโลกดิจิทัล  ระบบซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นเพื่อนำข้อมูลมาประมวลผลจะทำให้การประสานการทำงานในโลกกายภาพมีประสิทธิผลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ข้อมูลในโลกดิจิทัลรวมกับระบบซอฟต์แวร์เมื่อเชื่อมโยงกับระบบการทำงานในโลกกายภาพที่แพร่กระจายอยู่ทั่วทั้งโลก จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินการไปในลักษณะ Intelligent มากขึ้นและทำได้กว้างไกลมากขึ้นดังจะบรรยายต่อไป    

ระบบ Cyber-Physical System (CPS) นอกจากจะพบในระบบงานที่สลับสับซ้อนเช่นรถยนต์สมัยใหม่ ระบบบริการจ่ายกระแสไฟฟ้า ระบบบริการสุขภาพในโรงพยาบาลที่ทันสมัย จนถึงระบบเครื่องจักรกลสมัยใหม่ที่พบในโรงงานขนาดใหญ่ ยังจะพบได้ในระบบงานโลจิสติกส์และระบบห่วงโซ่อุปทานห่วงโซ่อุปสงค์สมัยใหม่ด้วย ที่ผ่านมาระบบห่วงโซ่อุปทานทำหน้าที่เพียงแค่จัดหาวัสดุป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิต แล้วส่งผลผลิตต่อให้ลูกค้า การบริการโลจิสติกส์เน้นการขนส่งสินค้า และห่วงโซ่อุปสงค์เน้นการจำหน่ายสินค้าและบริการหลังการขาย แต่พัฒนาการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้ธุรกิจต้องทบทวนกลยุทธ์เพื่อการแข่งขันใหม่ด้วยมาตรการสร้างคุณค่า (Value) ในทุกขั้นตอน มาตรการที่กล่าวรวมตั้งแต่การทำให้เครื่องมือและเครื่องจักรที่ทำงานด้านการผลิตและอื่น ๆ รู้จักคิดด้วยตัวเอง ในขณะที่สินค้าที่ผลิตนั้นต้องรู้เส้นทางเดินของตนเองจากสายการผลิตไปสู่ผู้บริโภค  หลักคิดของ “Self-Control” ทั้งในระดับเครื่องจักรกล เครื่องไม้เครื่องมือ และสินค้าที่รู้สถานภาพของตนเอง และปรับสถานภาพของตนเองในกระบวนการธุรกิจให้เหมาะสมได้ เป็นจุดต่างที่สำคัญระหว่างรูปแบบธุรกิจเก่าและใหม่  IoT ทำหน้าที่ส่งข้อมูลบอกสถานภาพของสิ่งต่าง ๆ ในโลกกายภาพไปประมวลผลในโลกดิจิทัลทำให้คุณลักษณะของระบบธุรกิจเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างน้อยดังต่อไปนี้

1)   ทรัพยากรทุกอย่างที่มีตัวตนจะถูกฝังด้วย Sensors, actuators, RFID, QR code และอื่น ๆ ทำให้สิ่งที่มีตัวตนเหล่านี้มีความสามารถเพิ่มขึ้นจากข้อมูลและซอฟต์แวร์ที่เชื่อมโยงกัน
2)   การเชื่อมโยงกันผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั้งระบบสายและไร้สาย ทำให้กระบวนการทางธุรกิจสื่อสารกันกับทุกส่วนของธุรกิจในวงกว้างทั่วทั้งโลกได้ ทำให้ธุรกิจทุกชนิดและทุกขนาดเป็นส่วนหนึ่งของ Global Value Chain
3)   ด้วยความสามารถของซอฟต์แวร์ ทุกส่วนของธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนสถานภาพของตนเองได้อย่างเหมาะสม (Dynamically Re-configuration) เช่นห้างสรรพสินค้าที่อยู่ในระหว่างรายการส่งเสริมการขายพิเศษ (Sales Promotion) สามารถปรับเปลี่ยนสถานภาพของสินค้าคงคลังให้เหมาะสมร่วมกับโรงงานผู้ผลิตตามปริมาณที่ขายได้จริงแบบเรียลไทม์
4)   กระบวนการทางธุรกิจสามารถเพิ่มความเป็นอัตโนมัติได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ระบบซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่จัดซื้อวัสดุอาศัยข้อมูลจากสายการผลิตร่วมกับข้อมูลจากคลังสินค้าและประวัติการสั่งซื้อจากระบบจัดซื้อ แล้วพิจารณาสั่งซื้อสินค้าจากผู้จำหน่ายที่เหมาะสมที่สุดด้วยระบบซอฟต์แวร์เอง

ความสามารถเชื่อมโยงกันในระหว่างกระบวนการธุรกิจ และความสามารถสื่อสารข้อมูลในทุก ๆ ขั้นตอนตลอดห่วงโซ่คุณค่า ทำให้ธุรกิจผลิตสินค้าตามสั่งในรูปแบบ Mass Customization ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำพอ ๆ กันกับ Mass Production ทั้งหมดนำไปสู่การบริหารจัดการธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นรายบุคคล (Personalized value creation) ในที่สุด

ชั้นดิจิทัล (Digital Layer) ในธุรกิจสมัยใหม่จึงมีบทบาทสำคัญมาก เพราะเป็นที่เกิดของนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริการที่อาศัยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Services) นวัตกรรมที่นำไปสู่การปฏิรูปทางธุรกิจอย่างหนึ่งคือการทำ “Servitization” ซึ่งก็คือแนวความคิดเกี่ยวกับการเพิ่มบริการดิจิทัลบนสินค้าและบริการที่จัดจำหน่ายในปัจจุบัน ทำให้ผู้บริโภคได้คุณค่ามากขึ้น เช่นร้านอาหารเพิ่มบริการจองโต๊ะด้วยการขอบัตรคิวผ่าน Mobile apps การขอบัตรคิวจาก Mobile apps ถือได้ว่าเป็น Digital Service ที่ให้บริการบน Digital Layer และเชื่อมโยงกับธุรกิจเดิมบน Physical layer (world) ผ่านโทรศัพท์มือถือ การให้บริการ Google map นำทางถือได้ว่าเป็น Digital service ที่ช่วยให้คนใช้รถยนต์ได้คุณค่าเพิ่มขึ้นมหาศาล การใช้ RFID ติดบนสินค้าระดับ SKU ช่วยการติดตามตำแหน่งของสินค้าในคลังสินค้าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ Digital service ที่ช่วยการจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างที่กล่าวเป็นการสร้างบริการดิจิทัลทำงานด้วยข้อมูลบนระดับ Digital layer เชื่อมโยงกับสินค้า เครื่องมือ เครื่องจักร โดยเฉพาะยานพาหนะบนโลกกายภาพทำให้กระบวนการทำธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปบนพื้นฐานการออกแบบระบบ Cyber-Physical System

กระบวนการทำงานต่าง ๆ ภายใต้ห่วงโซ่คุณค่าเป็นกระบวนการหลัก (Core processes) ที่สำคัญของธุรกิจทุกชนิดทุกขนาด เมื่อนำความคิดของ Cyber-Physical System มาประยุกต์ใช้จะเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจได้อย่างมากอย่างน้อยดังนี้

1)   ทำให้เกิด Visibility หรือการมองเห็นในทุกขั้นตอนของกระบวนการทำงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า ข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคนิคของ IoT ที่ปรากฏอยู่ในระดับ Digital layer นอกจากจะช่วยให้ธุรกิจรู้สถานภาพของวัสดุและสินค้าในระหว่างการผลิต ยังสามารถรับรู้สถานภาพของวัสดุและสินค้าคงคลังของลูกค้าได้ด้วย ทำให้ธุรกิจเสนอบริการจัดการสินค้าคงคลังให้ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด โดยเฉพาะเสนอให้บริการ Replenishment หรือบริการเติมเต็มวัสดุและสินค้าตามความจำเป็นแบบเรียวไทม์ได้
2)   สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดลูกค้า (Customer intimacy) ในยุคของดิจิทัลที่สามารถเชื่อมโยงกับทุกสิ่งทุกอย่างผ่านอินเทอร์เน็ต Internet of Customers (IoC) กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของการแข่งขัน IoC เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้านอกจากจะช่วยให้รู้ความต้องการของรู้ค้าเพื่อจะได้จัดหา Digital services ที่ช่วยสร้างคุณค่าให้ลูกค้าได้ ยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อบริการลูกค้าด้วยวิธี Customization คือให้ลูกค้ามีโอกาสเสนอความต้องการในเชิงต้นแบบของสินค้าและบริการได้
3)   ขยายขอบเขตธุรกิจสู่สากล (Globalization) ธุรกิจที่ออกแบบระบบให้ทำงานอยู่ในโลกสองใบสามารถขยาย Market reach หรือขยายตลาดให้กว้างไกลสู่สากลได้โดยง่าย ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและสินค้าและบริการของธุรกิจถูกค้นพบจากคนได้ทั่วทั้งโลก เป็นเหตุให้ขยายตลาดได้อย่างไม่มีขอบเขตและไม่พึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ห่วงโซ่อุปทานจากนี้ไปจะเป็นธุรกิจที่เข้าตรงได้ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย นำมาสู่การเพิ่มยอดขายและผลกำไรในที่สุด

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น IoT จึงถูกมองว่าเป็นพัฒนาการของเทคโนโลยีดิจิทัลครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจอย่างมาก IoT สนับสนุนแนวคิดของ Cyber-Physical System (CPS) ที่เชื่อมโยงเวทีของธุรกิจที่ปรากฏอยู่ในโลกสองใบ คือโลกดิจิทัลและโลกกายภาพ นำไปสู่การพัฒนาเวทีการค้าโลกครั้งสำคัญคือเวทีการค้า “Global Value Chain (GVC)” ของศตวรรษที่ 21

No comments:

Post a Comment