ถามว่า สังคมดิจิทัล (Digital Society) มีลักษณะอย่างไร หลายคนจะตอบว่าเป็นสังคมที่ทันสมัย
เป็นสังคมของประเทศที่เจริญแล้ว ทุกอย่างรอบตัวใช้เทคโนโลยีดิจิทัลหมด ใช้โทรทัศน์ดิจิทัล
สื่อสารด้วยระบบดิจิทัล ดูภาพยนตร์ด้วยระบบดิจิทัล ซื้อขายสินค้าด้วยระบบดิจิทัล
รัฐบาลบริการประชาชนด้วยระบบดิจิทัล นักเรียนเรียนหนังสือโดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัล
และอื่น ๆ แล้วถ้าถามว่าเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital
Economy) มีลักษณะอย่างไร ท่านก็คงจะตอบว่าเป็นระบบเศรษฐกิจที่ธุรกิจส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทำการค้าการขาย
ตั้งแต่การผลิต การสั่งซื้อ การส่งสินค้าตลอดจนการชำระเงิน ทั้งหมดคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงและเกิดขึ้นมากกว่าที่ได้กล่าวมา
แต่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ด้วยวิธีไหน
ใครเป็นผู้ทำให้เกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ได้กล่าวมาทั้งหมดแตกต่างจากการใช้คอมพิวเตอร์หรือไอซีทีที่ผ่านมาอย่างไร
และทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดิจิทัลและเศรษฐกิจดิจิทัลมากกว่าที่เคยให้กับยุคไอซีที
ความจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจดิจิทัล
พัฒนาการของเทคโนโลยีดิจิทัลที่ได้กล่าวมาในตอนที่
1 ทำให้ธุรกิจทุกขนาดและทุกประเภทถูกขับเคลื่อนและแข่งขันด้วยวิธีใหม่
และด้วยแนวคิดใหม่อย่างน้อย 6 ด้านดังนี้
1.
ความรวดเร็ว
(Speed)
อุปกรณ์พกพาเช่นเครื่องโทรศัพท์มือถือทำให้ผู้บริโภคใจร้อนและขาดความอดทน
เมื่อกดปุ่มสั่งซื้อสินค้าหรือสอบถามข้อมูลจากเครื่องมือถือทุกครั้ง
ก็คาดหวังว่าจะได้คำตอบถ้าไม่ทันที ก็ภายในเวลาที่นับเป็นชั่วโมง ไม่ใช่วันหรือสัปดาห์
ทุกวันนี้ประชาการทั่วโลกใช้อุปกรณ์พกพาทำรายการซื้อขายสินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้น
ผู้วิจัยการตลาดหลายแห่งนำเสนอผลการศึกษาไปในทิศทางเดียวกันว่าแนวโน้มการใช้อุปกรณ์พกพาทำธุรกิจจะเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ และอีก 2-3 ปีข้างหน้า
กว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลกที่มีอุปกรณ์พกพาจะสั่งซื้อสินค้าผ่านอุปกรณ์มือถือ[1] ธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวให้ทันสมัยไม่น่าจะแข่งขันได้
การพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อธุรกิจจึงไม่ใช่เป็นทางเลือก
แต่เป็นความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2.
การเข้าถึงตลาด
(Market reach)
อินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมเชื่อมโยงคนไปทั่วทั้งโลก
มีรายงานว่ากว่าร้อยละ 42 ของประชากรโลกใช้อินเทอร์เน็ตในขณะนี้[2] สหประชาชาติรายงานว่าจำนวนอุปกรณ์พกพาที่ใช้ทั่วโลกในขณะนี้สูงถึงกว่า
7.2 พันล้านเครื่อง[3] และ SocialTimes[4] รายงานว่าสื่อสังคมยอดนิยม
Facebook, G+ และ Twitter ต่างมีสมาชิกที่ใช้บริการประจำมากกว่าหนึ่งพันล้านขึ้นไปและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ บุคคลเหล่านี้มีโอกาสที่จะเป็นลูกค้าของธุรกิจทุกชนิดทุกประเภทไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก
จากนี้ไปธุรกิจต้องคิดถึงตลาดโลก ไม่ใช่ตลาดในภูมิภาค หรือในประเทศหรือตลาดในท้องถิ่น
ถึงแม้ธุรกิจจะไม่ได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่มุมใดของโลกก็ตาม แต่จะมีคนช่วยนำสินค้าไปจำหน่ายผ่านอินเทอร์เน็ตโดยเจ้าของสินค้าไม่รู้ตัว
การเข้าถึงตลาด (Market reach) นั้นกว้างไกลกว่าที่คิดมาก
เจ้าของธุรกิจจึงจำเป็นต้องใช้ปรากฏการณ์นี้ให้เป็นโอกาสและจัดระเบียบในการจัดจำหน่ายเพื่อได้ประสิทธิผลสูงสุดด้วยแนวคิดใหม่ที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มผลิตผลได้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
3.
การสร้างแบรนด์
(Brand)
การสื่อสารให้คนทั้งโลกรู้ว่าเรามีสินค้าและบริการอะไรที่น่าสนใจ
องค์กรมีความโดดเด่นอย่างไร และต้องการให้คนทั้งโลกเห็นอัตลักษณ์และภาพลักษณ์ของเราอย่างไร
มาตรการและวิธีที่จะทำให้คนทั่วโลกรู้จักเรา เข้าใจเรา และจดจำสินค้า
บริการและข้อเสนอของเราได้มากกว่าคู่แข่งจำเป็นต้องเข้าใจและเลือกใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม
ความสามารถในการออกแบบและสร้าง Digital content แล้วนำเสนอด้วยเทคโนโลยีเช่น QR code ร่วมกับสื่อสังคมเช่น
YouTube หรือวิธีผสมผสานระหว่าง Facebook กับ Twitter หรือการใช้เทคโนโลยี Gamification
หรือรูปแบบ กลไกหรือวิธีคิดเกม (Game) เป็นเครื่องมือสื่อสารดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์
การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือสร้างแบรนด์และการตลาดให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากกว่าการใช้สื่อทางเดียวแบบดั่งเดิม
อีกทั้งยังประหยัดกว่า และครอบคลุมได้ทั่วถึงกว่านั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำธุรกิจที่ไร้พรมแดนของยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
4.
การปฏิสัมพันธ์
(Interaction)
ความใกล้ชิดระหว่างธุรกิจกับลูกค้าและผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญในทุกยุคทุกสมัย
เพราะเป็นการสร้างความอบอุ่นและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
แต่ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลความใกล้ชิดกันไม่ได้จำกัดอยู่ทางกายภาพ
ไม่ใช่การส่งตัวแทนหรือพนักงานไปเยี่ยมเยียนลูกค้า
แต่เป็นการเยี่ยมเยียนในโลกไซเบอร์ ความสัมพันธ์จะดียิ่งขึ้นถ้าทำให้ลูกค้าและผู้บริโภคมีส่วนร่วม
(Participation)ในการสร้างคุณค่า (Co-creation
of value) เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้การมีส่วนร่วมเกิดได้สะดวกขึ้นโดยไม่คำนึงว่าผู้บริโภคจะอยู่มุมใดของโลกใบนี้
สื่อสังคมเป็นเทคโนโลยีที่ถูกใช้เพื่อการสื่อสารสองทางในลักษณะปฏิสัมพันธ์ (Interaction)
และเป็นพื้นฐานของการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก
5.
ประสบการณ์ของลูกค้า
(Customer experience)
การแข่งขันธุรกิจทุกวันนี้ไม่ได้แข่งขันลำพังที่ตัวสินค้าและบริการ
แต่แข่งขันกันด้วยความสามารถที่จะสร้างคุณค่าและความพอใจให้ลูกค้า
เรียกรวมกันว่าประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า (Customer
experience) ประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าเกิดจากการให้บริการ (Service)
ไม่ว่าธุรกิจจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมผลิตสินค้า
การจำหน่ายสินค้าและบริการแบบดั่งเดิม เช่นบริการทางการเงิน บริการท่องเที่ยว
บริการการศึกษา ฯลฯ ธุรกิจทั้งระบบเศรษฐกิจของประเทศและของโลกต่างต้องให้ความสำคัญที่สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าด้วยการบริการในรูปแบบต่าง
ๆ ที่ทำให้ลูกค้าได้คุณค่าและสร้างความพึงพอใจให้มากที่สุด การสร้างนวัตกรรมเชิงบริการที่นำไปสู่ Customer
experience จะขาดซึ่งทักษะในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ได้ ความไม่รู้เทคโนโลยีดิจิทัลหมายถึงการขาดซึ่งความสามารถในการสร้าง
Customer experience และการขาดความสามารถในการสร้าง Customer
experience หมายถึงความไม่สามารถจะแข่งขันได้ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
6.
ความรอบรู้
(Insights)
ความรอบรู้ในแวดวงธุรกิจไม่ได้เกิดจากความรู้สึก
และเกิดจากข่าวสารข้อมูล ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลนี้สิ่งที่แตกต่างจากสังคมไอซีทียุคเดิม
คือลูกค้าและผู้บริโภคมีความรอบรู้ในทุก ๆ ด้านรวมทั้ง Insights ในตัวสินค้าและตัวบริษัทจากการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมออนไลน์
เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้ลูกค้าเปลี่ยนจากครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกค้าชนิดตามการชักนำของธุรกิจ
(Passive customer) มาเป็นผู้นำ (Active customer) เมื่อลูกค้าและผู้บริโภคมีความรอบรู้ในขณะที่ธุรกิจนั้นไม่รอบรู้ก็คงยากที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้
แต่ถ้าบริษัทใดมีความรอบรู้ด้านความต้องการและปรากฏการณ์ในตลาดโลกได้ลึกซึ้งก็ย่อมได้เปรียบที่จะแข่งขันได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ความรอบรู้ (Insights) เกิดจากความสามารถในการใช้ข้อมูลข่าวสารที่ล้นโลกอยู่ในทุกวันนี้
ที่รู้จักในชื่อว่า “Big Data” ทักษะในด้านการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลปริมาณมหาศาลนี้กลายเป็นความจำเป็นของนักธุรกิจในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
และเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยการปริรูปธุรกิจ (Business Transformation)
เพื่อความอยู่รอดในศตวรรษที่ 21
ความแตกต่างระหว่างการใช้ไอซีทีในยุคก่อนกับในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลคือแทนที่จะเน้นเพียงเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร
แต่เปลี่ยนมาเน้นให้เกิดผลในการแข่งขันธุรกิจด้วยลักษณะทั้ง 6 ที่กล่าวข้างต้น
เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่าง จึงเห็นได้ว่าถ้าธุรกิจยังคงใช้ไอซีทีในรูปแบบเดิม
ด้วยแนวคิดการทำธุรกิจแบบเดิม ก็ยากที่จะแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิผลและได้อย่างยั่งยืน
จึงเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่จะตอบคำถามว่าเหตุใดระดับธุรกิจ ระดับองค์กร และระดับประเทศในศตวรรษ
21 นี้ต้องให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างจริงจัง
และต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ตามบริบทเพื่อให้สามารถแข่งขันภายในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลก
เพื่อการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชากรและทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
มาตรการทำให้ธุรกิจมีศักยภาพสูงในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
การสร้างศักยภาพเพื่อการแข่งขันทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศไม่ได้หมายถึงการใช้เงินเพื่อซื้อเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยมาใช้
แต่เป็นเรื่องการที่องค์กรและประเทศต้องสร้างขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
(Digital Capability) และการพัฒนาความเป็นผู้นำในด้านดิจิทัล
(Digital Leadership) ในหนังสือเรื่อง “Leading Digital:
Turning Technology Into Business Transformation[5]” ผู้เขียนคือ Westerman,
Bonnet และ McAfee กล่าวว่า
ความเป็นเลิศขององค์กรไม่ได้อยู่ที่ความสามารถในการซื้อเทคโนโลยีที่ทันสมัย
แต่อยู่ที่ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีได้อย่างถูกที่ถูกทาง และที่สำคัญองค์กรต้องมีความเป็นผู้นำในการผลักดันและบริหารให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนพื้นฐานของเทคโนโลยีดิจิทัล
ความสามารถขององค์กรเพียงแค่เลือกใช้เทคโนโลยีให้ถูกที่ถูกทางหรือ Digital Capability
นั้นก็ยังไม่เพียงพอ ต้องควบคู่กับความเป็นผู้นำในด้านดิจิทัล หรือต้องมี
Digital Leadership การมี Digital Leadership จะนำไปสู่การทำให้เกิด Business Transformation ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
หมายความว่าความพยายามใช้เทคโนโลยีใหม่เพียงเพื่อให้สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้น (Incremental
improvement) นั้นไม่ทำให้เราแข่งขันอย่างยั่งยืนได้
แต่ต้องมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก (Disruptive)
จนนำไปสู่การปฏิรูปธุรกิจบนพื้นฐานของความสามารถของเทคโนโลยีดิจิทัล
รายละเอียดในเรื่องนี้จะนำเสนอในตอนต่อไปครับ
[5] Westerman, G, Bonnet, D, McAfee, A, “Leading
Digital: Turning Technology Into Business Transformation”, Harvard Business
Review Press, Boston, Mass, 2014.
No comments:
Post a Comment