Saturday, December 26, 2015

ธุรกิจในศตวรรษที่ 21 เป็นรูปแบบ Cyber-Physical Systems ตอนที่ 2



 ตอนที่แล้ว เราได้พูดถึงพัฒนาการเทคโนโลยีที่เรียกว่า Internet of Things (IoT) โดยมีใจความว่า IoT เป็นเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเชื่อมโยงทุกสิ่งที่มีกายภาพในโลกมนุษย์เข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่นคน เครื่องจักร สินค้า และสิ่งของทางกายภาพอื่น ๆ   IoT เป็น “Data Point” หรือจุดที่เกิดของข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งของและสภาพแวดล้อมที่สรรพสิ่งนั้นปรากฏอยู่เพื่อให้สิ่งต่าง ๆ มีความฉลาดขึ้นในเชิงสร้างและใช้ข้อมูล    บัดนี้เราไม่เพียงสามารถสื่อสารกันระหว่างคนด้วยกัน แต่ยังสื่อสารได้กับเครื่องจักรและสิ่งของอื่น ๆ ได้  เรายังสามารถรับรู้ถึงสถานภาพของสรรพสิ่งเหล่านี้ได้ (Sense) หรือปฏิสัมพันธ์กับมันได้ (Interact)  ความสามารถนี้นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินธุรกิจที่มีผลต่อการแข่งขันและการสร้างคุณค่าต่อธุรกิจ ต่อผู้บริโภค ต่อสังคม และต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวม บทความตอนใหม่นี้ จะกล่าวถึงความสำคัญที่ IoT มีต่อระบบธุรกิจ

ความสำคัญของ IoT มีต่อระบบธุรกิจ
กว่าหนึ่งทศวรรษที่อินเทอร์เน็ตได้แสดงความสามารถในการเปลี่ยนแปลงแนวทางดำรงชีวิตของพวกเราทุกคน รวมทั้งวิถีการดำเนินธุรกิจและแข่งขันทางธุรกิจ ธุรกิจรุ่นเก่า ๆ หลายอย่างได้หายตายจากไป หรือกำลังจะสูญหายไปอันเนื่องจากธุรกิจเกิดใหม่ที่ใช้อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น Amazon.com ทำให้ร้านจัดจำหน่ายหนังสือแบบดั่งเดิมค่อย ๆ สูญหายไป  ธุรกิจ iTune Store  ของบริษัท Apple ทำให้ธุรกิจจัดจำหน่ายเพลงทั้งโลกต้องเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง Airbnb เป็นจ้าวธุรกิจบริการด้านห้องพักทั่วโลกโดยไม่มีสิ่งปลูกสร้างของตนเอง นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของอินเทอร์เน็ตที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจและแข่งขันธุรกิจเป็นอย่างมาก
เรากำลังจะเห็นคลื่นลูกใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกแห่งธุรกิจอีกครั้งหนึ่ง  Internet of Things (IoT) คือคลื่นลูกใหม่นี้ IoT เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างในโลก สรรพสิ่งที่มีกายภาพจะติดต่อกันได้และแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ผ่านอินเทอร์เน็ต IoT ถือเป็นพัฒนาการทางเทคโนโลยีก้าวใหญ่และก้าวสำคัญมากอีกก้าวหนึ่ง และค่อนข้างจะ Disruptive คือมีพลังที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก  คุณสมบัติสำคัญของ IoT คือความสามารถในการสร้างข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและสื่อสารข้อมูลกับโลกภายนอกได้ ถ้าเปรียบเทียบคนกับสัตว์ชนิดอื่น ๆ ความแตกต่างอยู่ที่คนมีความสามารถเหนือกว่าในการสื่อสารด้วยข้อมูลที่มีสาระและเป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง  ถ้าเราสามารถสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำให้สรรพสิ่งในโลกสื่อสารได้อย่างชาญฉลาด สรรพสิ่งเหล่านั้นก็จะทำสิ่งใหม่ ๆ ที่มีคุณค่ามากขึ้น ตัวอย่างเช่น สามารถสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับสภาพการทำงานของเครื่องจักรในโรงงานอย่างละเอียดและต่อเนื่อง นำไปสู่การวิเคราะห์และพิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับสถานภาพหรือสุขภาพของเครื่องจักรเพื่อจะได้หามาตรการป้องกันแก้ไขในกรณีที่เครื่องจักรเกิดปัญหาจนไม่สามารถทำงานปกติได้และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น หรือกรณีที่ใช้อุปกรณ์ Beacon ในเครื่องโทรศัพท์พกพา ทำให้คนติดต่อสื่อสารกับระบบคอมพิวเตอร์ของร้านสรรพสินค้าโดยอัตโนมัติ ทำให้คอมพิวเตอร์ในห้างรู้ว่าเราได้เข้าไปเดินชมสินค้า และจากพฤติกรรมการเลือกดูสินค้า ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถคาดเดาความต้องการของเรา แล้วทำการประมวลผลจนนำไปสู่การทำข้อเสนอพิเศษเพื่อจูงใจให้เราซื้อ ความสามารถในการสื่อสารข้อมูลจาก IoT ดังตัวอย่างที่กล่าว นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมในเชิงธุรกิจหลากหลายรูปแบบตามจินตนาการณ์ของคนเรา
คงจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าภายในอีกไม่นานข้างหน้า ถ้ารัฐบาลไทยยอมให้ขึ้นค่าแรงจาก 300 บาทต่อวัน เป็น 360 บาท หรือมากกว่า จะเป็นผลอย่างไรต่อศักยภาพการแข่งขันของสินค้าไทยในต่างแดน การขึ้นค่าแรงถึงร้อยละ 20 หรือมากกว่าในช่วงอีกหนึ่งหรือสองปีข้างหน้าจะนำไปสู่การย้ายฐานการผลิตสินค้าไปสู่ประเทศที่สามที่มีค่าแรงต่ำกว่า และมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เหนือกว่าไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ประเทศไทยอาจไม่สามารถป้องกันไม่ให้ขึ้นค่าแรงจนถึงขนาดที่ธุรกิจไม่สามารถแข่งขันได้ แต่ประเทศไทยสามารถใช้เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนด้านอื่น ๆ ได้ รวมทั้งใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าไทย เป็นการทดแทนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นได้ การลดต้นทุนด้วยการพัฒนาวิธีจัดการด้าน Supply Chain หรือมาตรการสร้างมูลค่าด้วยบริการที่เพิ่มคุณค่าแก่ลูกค้ามากขึ้นนั้นเป็นวิธีที่จะทดแทนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ  IoT เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้  Industry Internet of Things (IIoT) เป็นการใช้ IoT ในภาคการผลิต ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ตั้งแต่การบริหารจัดการการสั่งซื้อ การผลิต และบริหารระบบโลจิสติกส์ทั้งภายในและภายนอก ตลอดจนการจัดจำหน่าย การบริการหลังการขาย  ธุรกิจภาคการผลิตของประเทศเป็นธุรกิจที่ต้องรีบเร่งพัฒนาทักษะที่จะนำ IIoT มาประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง เช่นเดียวกับภาคธุรกิจหลัก ๆ อื่น ๆ เพื่อการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของประเทศให้ยั่งยืนได้

1.             ประโยชน์ของ IoT
ประโยชน์ของ IoT อยู่ที่ความสามารถในการสร้างข้อมูลเกี่ยวข้องกับสรรพสิ่งในปริมาณมาก ข้อมูลเหล่านี้ใช้สื่อสารกับ  IoT ตัวอื่น ๆ  ข้อมูลเหล่านี้เมื่อถูกนำไปวิเคราะห์และประมวลผลจะทำให้เกิดคุณค่าใหม่ ๆ จนทำให้สรรพสิ่งนั้น ๆ เพิ่มความฉลาดในการทำงานมากขึ้น เช่นในกรณีใช้ IoT กับเรือประมง ข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นจะสามารถช่วยตรวจสอบย้อนกลับว่าผลผลิตที่เป็นสัตว์น้ำถูกจับจากเรือลำไหน น่านน้ำส่วนไหน และเมื่อไร ข้อมูลจำนวนมากที่เกิดจาก IoT ในระบบธุรกิจ ตั้งแต่ IoT ที่เป็นเครื่องจักรในโรงงาน สินค้าและวัสดุที่ใช้ผลิตสินค้า ตลอดจนระบบงานต่าง ๆ ทั้งของเราเองและของคู่ค้าถูกนำไปวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจได้ ที่สำคัญข้อมูลที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า ข้อมูลอันมหาศาลนี้เกิดขึ้นจากการเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะสินค้าและบริการจะช่วยการตัดสินใจที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีกว่าได้อย่างถูกที่ถูกทางและถูกโอกาส  เช่นบริการแท็กซี่แบบสมัยใหม่ Grabtaxi หรือ Uber ใช้ระบบ GPS ผ่านอุปกรณ์ในรถยนต์และโทรศัพท์มือถือของผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการทำให้รถแท็กซี่และผู้โดยสารเป็น IoT  ทั้งคนขับและผู้โดยสารสามารถติดต่อสื่อสารเพื่อจองรถบริการ และระบุตำแหน่งของผู้โดยสารรวม อีกทั้งยังคำนวณระยะทางเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใช้บริการแบบเรียวไทม์และคำนวณค่าบริการ ทั้งหมดนี้นำไปสู่การบริการที่สะดวกและมีคุณค่าเพิ่มขึ้น เป็นผลให้การบริการแท็กซี่แบบเดิมนั้นล้าสมัยไปโดยสิ้นเชิง
ภาคธุรกิจเริ่มนิยมนำ IoT มาประยุกต์เพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างน้อยในด้านเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ และพัฒนาธุรกิจที่เน้นผลลัพธ์หรือ Outcome เป็นหลักดังนี้

1.1.       การใช้ IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ
ดังที่ได้กล่าวมาข้างตันว่าความสำคัญของ IoT คือการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่น Sensors, RFID, Beacon และอื่น ๆ เพื่อเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ เข้ากับอินเทอร์เน็ต เพื่อให้สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นเป็น Data Point ที่สามารถสื่อสารข้อมูลกับโลกภายนอก ทำให้สิ่งต่าง ๆ สร้างข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวเองและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เช่นเครื่องจักรในโรงงาน หรือเครื่องปรับอากาศในอาคารสามารถบอกสถานภาพหรือสภาพเกี่ยวกับความสามารถการทำงานชองตนเองในแต่ละขณะ เพื่อให้คนที่เกี่ยวข้องได้รับรู้สภาพที่แท้จริงของเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้น ๆ เพื่อคาดเดาสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น เช่นเกิดขัดข้องจนทำงานไม่ได้ เพื่อจะได้หามาตรการแก้ไขก่อนที่กระบวนการผลิตจะหยุดชะงักจนเกิดความเสียหาย ความสามารถของ IoT ที่สามารถสื่อสารข้อมูล สามารถรับรู้ได้ (Sense) หรือปฏิสัมพันธ์ได้ (Interact) กับสิ่งภายนอก เป็นหนทางที่จะช่วยให้เรานำไปออกแบบกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้โดยรวม เช่นการทำให้เครื่องจักรในกระบวนการผลิตสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง สามารถจัดการประหยัดพลังงาน สามารถติดตามและวิเคราะห์ความต้องการเกี่ยวกับวัสดุที่ป้อนเข้าสู่สายการผลิตอย่างไม่ติดขัด ในขณะเดียวกันก็ช่วยหลีกเลี่ยงการสต๊อกวัสดุมากเกินความจำเป็นจนทำให้ต้นทุนการผลิตสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ IoT ยังสามารถช่วยสร้างนวัตกรรมในเชิงกระบวนการเพื่อให้การทำงานภายในองค์กร และการบริการลูกค้ามีประสิทธิภาพและประหยัด ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างการใช้ IoT เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ

1.2.       การใช้ IoT เพื่อพัฒนาธุรกิจที่เน้น Outcome เป็นหลัก
ทุกวันนี้ ธุรกิจจะไม่สามารถแข่งขันลำพังที่ตัวสินค้าและบริการเหมือนแต่ก่อน เนื่องจากผู้ผลิตทั่วโลกสามารถผลิตสินค้าจำนวนมากที่มีคุณภาพด้วยต้นทุนต่ำใกล้เคียงกัน ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นและให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายที่มีคุณค่าตามบริบทของตนเองมากขึ้น ธุรกิจจึงต้องอาศัยความสามารถที่จะสร้างคุณค่าหรือสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า คือเน้นที่ผลลัพธ์ในมุมมองของลูกค้าเป็นเครื่องมือใหม่ในการแข่งขัน  ฝรั่งเรียกการดำเนินธุรกิจแนวใหม่นี้ว่า “Outcome Economy”  อธิบายง่าย ๆ  Outcome Economy[1] คือธุรกิจที่เน้นผลลัพธ์ ไม่เน้นเพียงแค่ผลิตและจำหน่ายสินค้าและบริการ  ตัวอย่างที่เข้าใจได้ง่ายมาจากประโยคที่รู้จักกันในหมู่ธุรกิจสมัยใหม่ที่กล่าวโดยนักเศรษฐศาสตร์สำคัญ Theodore Levitt ท่านพูดว่า เราต้องการรูบนกำแพงเพื่อไว้แขวนรูป เราไม่ต้องการเป็นเจ้าของเครื่องสว่านเจาะรู  แท้ที่จริง คนเราส่วนใหญ่ต้องการผลแต่ไม่ได้ต้องการความเป็นเจ้าของอุปกรณ์หรือตัวสินค้า
เราคุ้นเคยกับการไปหาหมอแล้วหมอก็ให้ยาเรามา แต่ผลจะเกิดขึ้นหรืออยู่ที่คนไข้ได้รับประทานยาตามที่หมอสั่ง ถ้าไม่รับประทานก็ไม่เกิดผล  การซื้อและขายยาไม่ถือว่าเป็น Outcome แต่ถ้าเราติด Sensor ไว้ในกล่องใส่ยา ทำให้กล่องใส่ยาเป็น IoT  ถ้าคนไข้ไม่เปิดกล่องกินยาตามกำหนด Sensor จะส่งสัญญาณไปที่เครื่องโทรศัพท์มือถือของคนไข้เพื่อเตือนให้กิน ถ้าคนไข้กินยาบ้างไม่ยอมกินบ้าง Sensor จะส่งข้อมูลนับจำนวนครั้งที่คนไข้เปิดกล่องยาเพื่อกินยา รายงานไปยังนายแพทย์เจ้าของไข้เพื่อแพทย์จะได้หามาตรการแก้ไขสถานการณ์ต่อไป ธุรกิจที่เน้นเรื่องผลลัพธ์มากกว่าตัวสินค้าหรือบริการกำลังอยู่ในความสนใจในยุคของ IoT ซึ่งถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมในเชิงรูปแบบใหม่ของธุรกิจที่สำคัญจากนี้เป็นต้นไป และ IoT จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้เกิดการปฏิรูปรูปแบบการทำธุรกิจได้

2.             แนวทางที่ทำให้ได้ประโยชน์จาก IoT
ประโยชน์ของ  IoT ไม่ว่าจะใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจการก็ดี หรือใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจที่เน้นผลลัพธ์หรือ Outcome ก็ดีนั้น เกิดจาการทำให้คน เครื่องจักร สินทรัพย์ทางด้านกายภาพอื่น ๆ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมให้เป็น IoT เพื่อสร้างข้อมูลและสื่อสารกันระหว่าง IoT และสิ่งแวดล้อม ข้อมูลจำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นถูกนำไปวิเคราะห์เพื่อใช้ตัดสินค้าใจในเชิงธุรกิจ  IoT จะเกิดประโยชน์ได้ต้องทำงานเป็นเครือข่ายประกอบด้วยองค์กร หน่วยงาน เทคโนโลยี สินค้าและบริการรวมทั้งสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก IoT เหล่านี้ต้องเชื่อมโยงผ่านอินเทอร์เน็ตกลายเป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่และสลับซับซ้อนมาก  เพื่อให้สามารถทำงานสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย เราจำเป็นต้องมีระบบ IoT Ecosystem หรือระบบนิเวศ IoT  เพื่อรองรับการทำงานเป็นเครือข่ายอย่างเป็นระบบ อีกทั้งต้องมีมาตรการในการทำงานร่วมกันระหว่างคนและเครื่องจักรของต่างหน่วยงาน เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลและทรัพยากรที่มีหลากหลายชนิด และยังสามารถนำข้อมูลจากที่ต่าง ๆ มาวิเคราะห์ประเมินผลเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับการผลิตและการทำธุรกิจ

2.1.       IoT Ecosystem เพื่อสนับสนุนการทำงานแบบเครือข่าย
ระบบที่ประกอบด้วย IoT นั้นทำงานด้วยการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยอุปกรณ์เหล่านี้เป็น Data point ของสรรพสิ่ง แต่เนื่องจากระบบที่มีส่วนประกอบของ IoT นั้นมีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่หลากหลายจำนวนมาก รวมทั้งระบบซอฟต์แวร์ประยุกต์ต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของ Total solution หรือ End-to-end solution  นั้น ผู้เกี่ยวข้องกับการจัดหาและจัดการอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีที่มีมากมาย ต่างคนต่างมีบทบาทที่จะทำงานร่วมกันเพื่อทำงานบรรลุผลตามเป้าหมาย  การเชื่อมโยงดังกล่าวต้องคำนึงถึงมาตรฐานการเชื่อมโยง ภาษาที่ใช้สื่อสารระหว่างกัน ตลอดจนกฎกติกาและเงื่อนไขของการเชื่อมโยง องค์ประกอบทั้งหมดนี้รวมกันเรียกว่า “IoT Ecosystem” หรือระบบนิเวศ IoT
ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ IoT คือ Software Platform ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงกันทางเทคนิค ภายใน IoT Ecosystem หนึ่ง ๆ มักจะมี Software Platform มากกว่าหนึ่ง Platform ที่ทำหน้าที่แตกต่างกัน เช่น IoT Ecosystem ของระบบ Smart Manufacturing อาจประกอบด้วย Software Platform ของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบ Supply Chain และมีอีก Platform หนึ่งสำหรับเชื่อมต่อเครื่องจักรของโรงงานกับระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทที่ให้บริการบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ  ยังมี Platform ที่เชื่อมโยงคลังสินค้าเพื่อบริหารจัดการคลังสินค้า นอกจากนี้ยังอาจมี Platform เชื่อมโยงกลุ่ม IoT ที่เกี่ยวข้องกับการบริการโลจิสติกส์ เป็นต้น โดย แต่ละ Platform จะมีการเชื่อมโยงกันอย่างน้อย 4 ระดับดังนี้
·       ในระดับอุปกรณ์ (Connected devices) ที่เชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง  IoT ที่ใช้เชื่องโยงนั้นทำงานภายใต้ Operating system ที่แตกต่างกันก็จริง แต่อาศัยมาตรฐานการเชื่อมโยงที่เข้าใจตรงกันระหว่างสมาชิกและกับส่วนอื่น ๆ  หรือกับเทคโนโลยีที่จะช่วยรวมกลุ่มอุปกรณ์เพื่อเชื่อมต่อกับโลกภายนอกที่จุดเดียวเช่น เทคโนโลยี Gateway เป็นต้น
·       ในระดับการเชื่อมโยงกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งอาจใช้มาตรฐานระบบการสื่อสารไร้สาย หรือ Wi-Fi router หรือมาตรฐานทั้งแบบรัศมีใกล้และไกลชนิดอื่น ๆ
·       ในระดับบริการในเชิงปฏิบัติงาน (Application services) และการแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยอาศัยมาตรฐานที่ยอมรับกันเช่น JSON, SOA ฯลฯ
·       ในระดับสนับสนุนการใช้ระบบงานอื่น ๆ ประกอบด้วยบริการติดตามผลการทำงานของอุปกรณ์และเครือข่าย ( Performance Monitoring) การบริการปริมาณการใช้บริการเพื่อส่งบิลค่าใช้บริการ ตลอดจนการบริการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบงาน ฯลฯ

ระบบนิเวศ IoT จึงเป็นส่วนสำคัญของระบบธุรกิจยุคใหม่ที่ใช้ IoT ที่จะขาดไม่ได้ ธุรกิจที่ทำกันแบบเครือข่าย เช่นระบบ Global supply chain จะมีระบบนิเวศ IoT ที่ประกอบด้วย Platform หลากหลายมาก การออกแบบและสร้างระบบนิเวศ IoT และระบบ Platform เพื่อรองรับธุรกิจใหม่นี้ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

2.2.       การร่วมสร้างคุณค่าและร่วมเพิ่มผลิตภาพ
ธุรกิจที่ใช้ IoT เป็นธุรกิจที่ทำงานเป็นเครือข่าย ทั้งเครือข่ายภายในองค์กรและเครือข่ายที่เชื่อมโยงกับพันธมิตร ทุกเครือข่ายจะเชื่อมโยงการทำงานระหว่างคนกับเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อหวังให้เกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิพลได้ด้วยระบบอัตโนมัติที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ เมื่อธุรกิจเริ่มเปลี่ยนจากการผลิตสินค้าและจำหน่ายสินค้ามาเป็นเน้นคุณค่าและ Outcome  จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล เครือข่ายและระบบนิเวศ IoT ช่วยให้เกิดการแบ่งปันทรัพยากรและใช้ทรัพยากรร่วมกัน การทำงานที่ร่วมมือกันระหว่างพันธมิตรจึงเป็นการนำทรัพยากรของทุกฝ่ายมาใช้ร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์และคุณค่ามากที่สุดแก่ทุกฝ่าย หลีกเลี่ยงการลงทุนซ้ำซ้อน ทำให้ Time to market ดีขึ้น ทรัพยากรมีตั้งแต่องค์ความรู้ ข้อมูล กระบวนการทำงาน และสินทรัพย์อื่น ๆ  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เป็นเพราะ IoT และระบบนิเวศ IoT   การเข้าถึงทรัพยากรของพันธมิตรที่อยู่ภายในเครือข่ายจะทำให้เกิดการ Recombine ทรัพยากรจนนำไปสู่การสร้างทรัพยากรที่เป็นองค์ความรู้และทักษะใหม่ ๆ  เกิดเป็นคุณค่าและมูลค่าเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณแก่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งจะนำไปสู่การประหยัดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในที่สุดได้

โดยสรุป IoT ช่วยให้ธุรกิจปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการผลิตและจำหน่ายสินค้าไปเป็นการบริการที่เน้น Outcome การแข่งขันธุรกิจจากนี้ไปขึ้นอยู่ที่ความสามารถในการสร้างคุณค่าที่จับต้องได้ให้แก่ลูกค้า ช่วยให้ธุรกิจดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น โรงงานสามารถดำเนินการผลิตโดยไม่หยุดชะงัก สามารถมีวัสดุเพื่อป้อนสายการผลิตได้อย่างไม่ติดขัด สามารถ Reconfigure เครื่องจักรในโรงงานเพื่อผลิตสินค้าตามสั่งได้อย่างทันท่วงทีและประหยัด  จนถึงการเสนอคุณค่าอื่น ๆ ตามความต้องการของลูกค้าได้  IoT และ Software platform ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างข้อมูลและจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับสรรพสิ่งในระบบธุรกิจเพื่อการแลกเปลี่ยนสื่อสาร และวิเคราะห์เพื่อให้มีความรอบรู้ในเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจสามารถพัฒนาสินค้าบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการตามบริบทของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและประหยัด กล่าวโดยรวม ธุรกิจจากนี้ไปควรต้องพิจารณานำ IoT ไปใช้อย่างน้อยดังนี้
1)            ปรับปรุงระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain System) เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการสั่งซื้อและได้มาซึ่งวัสดุเพื่อใช้ในการผลิต โดยสามารถเชื่อมโยงกับระบบงานของ Suppliers และพันธมิตรอื่นเพื่อให้มีทางเลือกมากขึ้น โดยเน้นการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
2)            ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น โดยอาศัย IoT ทำให้เครื่องจักรส่งข้อมูลเกี่ยวกับสภาพของตัวเองในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้คนที่เกี่ยวข้องสามารถแก้ไขสถานการณ์ล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดเหตุขัดข้องจนเป็นเหตุให้สายการผลิตต้องหยุดชะงักและเกิดความเสียหาย นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนสายการผลิตและกระบวนการผลิตให้เหมาะสมกับการสั่งจ้างการผลิตได้อย่างสะดวก รวดเร็วและประหยัด
3)            เพิ่มประสิทธิภาพ (Optimize) ตลอดกระบวนการผลิต การจำหน่ายและการบริการ (Manufacturing value chain) โดยใช้ IoT กับเครื่องจักร อุปกรณ์ ระบบโลจิสติกส์ คลังสินค้า ตลอดจนถึงส่วนที่เกี่ยวกับการบริการลูกค้าเพื่อปรับเปลี่ยนแนววิธีดำเนินการที่ส่งผลให้เกิดการผลิตและจำหน่ายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพในราคาที่แข่งขันได้
4)            ใช้ IoT เสริมสร้างความใกล้ชิดกับพันธมิตรและลูกค้า จนเกิดความสัมพันธ์ที่ดี นำไปสู่การร่วมมือกันเพื่อสร้างคุณค่าร่วมกันด้วยความจริงใจระหว่างกัน

ประโยชน์ของ IoT มีไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับจินตนาการณ์ของเราว่าจะคิดสร้างสรรค์นำไปประยุกต์ใช้กับงานส่วนใดและอย่างไร IoT เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในทุกภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าปรากฏการณ์ด้านเทคโนโลยีครั้งใหม่นี้จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงแนวทางการธุรกิจครั้งใหญ่ (Disruptive change) ที่ไม่มีใครอาจมองข้ามได้  ธุรกิจไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กต่างต้องเตรียมตัวเรียนรู้และพร้อมที่จะปรับตัวเองให้เข้ากับระบบธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ในโลกสองใบ นั่นก็คือโลกกายภาพและโลกดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันด้วย Internet of Things นำไปสู่การเป็นธุรกิจส่วนหนึ่งของระบบห่วงโซ่คุณค่าระดับโลก (Global Value Chain) ได้ในที่สุด

ยังมีต่อครับ


[1] เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ของ Alan Alter โดย Mary K. Pratt, http://searchcio.techtarget.com/feature/The-outcome-economy-is-upon-us-is-your-business-ready

Friday, December 11, 2015

ธุรกิจในศตวรรษที่ 21 เป็นรูปแบบ Cyber-Physical Systems ตอนที่ 1



ทุกวันนี้เราได้ยินคำว่า “Internet of Things (IoT)” จนคุ้นหูมากแม้ในกลุ่มผู้ที่อยู่นอกแวดวงของเทคโนโลยีก็ตาม ทุกคนรู้ว่า IoT นั้นเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ ๆ เช่น RFID, QR code, Beacon, Sensors ทุกชนิด และอื่น ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันคืออะไรและสำคัญอย่างไรต่อธุรกิจยุคใหม่ และที่คนเขาพูดกันว่า IoT จะเป็นกลไกสำคัญที่จะปฏิรูปอุตสาหกรรมและธุรกิจในทุก ๆ ด้านที่ฝรั่งใช้คำว่า “Industry 4.0 หรือ Smart Manufacturing และ Global Value Chain หรือ Global Supply Chain” มันจะสำคัญถึงขนาดนั้นจริงหรือ แล้วมันจะเชื่อมโยงกับ Service Science นั้นอย่างไร

บทความชุดใหม่นี้จะพยายามอธิบายและเชื่อมโยงกันให้เข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ที่สำคัญจะพยายามชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) จะมองข้ามแนวโน้มของเทคโนโลยีกลุ่มนี้และไม่ทำความเข้าใจกับมันและไม่เรียนรู้มันให้ลึกซึ้งไม่ได้ และต้องสามารถนำมาประยุกต์และสร้างนวัตกรรมในด้านอุตสาหกรรมและธุรกิจที่จะช่วยให้ประเทศไทยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยให้ก้าวหน้าไปอีกระดับหนึ่ง

ความหมายของ Internet of Things (IoT)

เชื่อกันว่าคำ “Internet of Things” เริ่มพูดกันมากว่า 15 ปี และ Kevin Ashton ชาวอังกฤษผู้ร่วมก่อตั้ง Auto-ID Center ที่สถาบันเทคโนโลยี MIT ศูนย์วิจัยและกำหนดมาตรฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับระบบ RFID และ Sensors จนกลายเป็น EPCGlobal ที่กำหนดมาตรฐานรหัสสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Product Code, EPC) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกวันนี้  เป็นผู้พูดถึงคำนี้ครั้งแรกในการบรรยายเรื่องเกี่ยวกับอิทธิพลของ RFID ที่บริษัท Procter & Gamble (P&G) ในราวปี 1999[1] Kevin Ashton บอกว่าสาเหตุที่เขาใช้คำว่า “Internet of Things” ในครั้งนั้นเป็นเพราะว่า คอมพิวเตอร์ทุกวันนี้ยังต้องพึ่งพาคนในการสร้างและบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบด้วยการ Key เข้าหรือด้วยการถ่ายภาพ หรือสแกนภาพ และอื่น ๆ ที่ผ่านการกระทำด้วยคน แต่การบันทึกด้วยคนมีข้อจำกัดมาก นอกจากความช้าแล้วยังไม่มีความละเอียดและขาดความต่อเนื่อง เป็นผลให้การบันทึกข้อมูลนั้นถ้าไม่ผิดพลาดก็ไม่สมบูรณ์และไม่ครบถ้วนอีกทั้งยังไม่ต่อเนื่อง ข้อสังเกตของ Kevin Ashton นั้นสำคัญอย่างไร ลองดูตัวอย่างสักหนึ่งตัวอย่าง โรงงานส่งใบแจ้งให้ลูกค้าว่าได้ส่งสินค้าที่สั่งแล้ว เมื่อได้รับแจ้งผู้รับจะนำข้อมูลที่แจ้งในเอกสารบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ ผู้รับก็จะได้ข้อมูลเฉพาะเรื่องที่ว่าสินค้าได้ถูกส่งมาให้แล้ว ประโยชน์ก็พอมีบ้างและก็ไม่มาก แต่ถ้าให้เครื่องจักรรายงานข้อมูลเองและทำอย่างต่อเนื่องได้ ในบริบทนี้คอมพิวเตอร์ของผู้รับจะคุยกันกับอุปกรณ์ที่ติดอยู่กับหีบห่อสินค้าที่เดินทางด้วยรถขนส่ง ในขณะเดียวกันระบบ GPS ก็จะจับตำแหน่งของรถขนส่งที่เดินทาง ข้อมูลจะถูกรวบรวมประมวลผลและส่งไปให้ผู้ที่จะรับสินค้าอย่างต่อเนื่องตลอดระยะทางเดินทาง ทำให้ผู้รับสินค้าสามารถรับรู้ตำแหน่งและสถานภาพของสินค้าได้ต่อเนื่อง ถ้าหากสินค้านั้นเป็นเนื้อสดที่ต้องควบคุมอุณหภูมิในขณะขนส่ง ภายในรถขนส่งจะติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิที่สามารถส่งข้อมูลไปให้ผู้รับปลายทางร่วมกับข้อมูลอื่น ทำให้ผู้รับมั่นใจว่าเนื้อสดที่ต้องการคุณภาพสูงนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมอุณหภูมิให้มีความสดตามที่ตกลงอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาเดินทางได้   Internet of Things จึงเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการทำให้สรรพสิ่งทุกชนิดในโลกสามารถรายงานข้อมูลและสื่อสารข้อมูลกับสรรพสิ่งอื่น ๆ ได้ผ่านอินเทอร์เน็ตและทำได้อย่างต่อเนื่อง

การรายงานและบันทึกข้อมูลของสรรพสิ่งในโลกมนุษย์เป็นสิ่งจำเป็น เพราะมนุษย์เราอยู่ในสังคมที่ต้องพึ่งพามนุษย์ด้วยกัน และพึ่งพาสรรพสิ่งที่เป็นกายภาพ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมเพื่อคงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติตามธรรมชาติของมนุษย์ เราต้องการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของเราอย่างต่อเนื่อง เราต้องการรู้ว่าเครื่องจักรในโรงงาน ณ วิธีใดวิธีหนึ่งทำงานได้เป็นปกติหรือไม่ หรือมีสัญญาณที่บ่งบอกว่ากำลังจะเกิดปัญหา เราต้องการรู้สถานภาพของวัสดุคงคลังว่าสอดคล้องกับตารางการผลิตอย่างต่อเนื่องหรือไม่เพื่อจะได้จัดการการสั่งซื้อวัสดุเพื่อป้อนสายการผลิตได้อย่างไม่ติดขัด เราต้องการควบคุมระบบไฟฟ้าและอุณหภูมิในบ้านพักในขณะที่อยู่นอกบ้าน เราต้องการรู้พฤติกรรมของลูกค้าที่เดินซื้อสินค้าในห้างเพื่อกำหนดมาตรการจูงใจให้ลูกค้าซื้อสินค้าให้มากที่สุด ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างเพียงบางตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูลที่ถูกส่งมาจากสรรพสิ่งโดยตรงโดยไม่ผ่านกระบวนการทำงานของมนุษย์ เป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสิ่งของโดยตรงกับเครื่องคอมพิวเตอร์

 นอกจากความต้องการข้อมูลเพื่อติดตามสถานภาพและพฤติกรรมของสรรพสิ่งตามที่กล่าวข้างต้น บางครั้งเรายังต้องเพิ่งพาสติปัญญาของคนเพื่อทำให้ข้อมูลที่ได้มีประโยชน์มากขึ้น เช่นสามารถบอกได้ว่าสินค้าที่วางจำหน่ายนั้นมีความปลอดภัยที่จะบริโภคหรือไม่ สินค้ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือไม่ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพและคุณภาพของสินค้าและเครื่องจักรตลอดช่วงวงจรชีวิตของสินค้าเหล่านั้น เราต้องการรู้สภาพความสมบูรณ์ของเครื่องจักรทุกชิ้นในโรงงาน เราต้องการรู้ระยะเวลาการเดินทางของวัตถุดิบจากผู้ผลิตต้นทางมาสู่โรงงานเพื่อเข้าสู่กระบวนการผลิต เราต้องรู้ว่าทุกครั้งที่บริษัทคู่ค้าเปลี่ยนปริมาณหรือเปลี่ยนคุณลักษณะของสินค้าที่สั่งซื้อ โรงงานจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับการสั่งซื้อ ทั้งหมดนี้นอกจากต้องอาศัยข้อมูลที่สื่อสารกันระหว่างสิ่งของ (Things) กับคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง ยังต้องอาศัยสติปัญญาของคนเพื่อช่วยสนับสนุนการประมวลผลและตัดสินใจด้วย

 Internet of Things (IoT) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะทำให้ทั้งคน เครื่องจักร สินค้า และสรรพสิ่งทุกชนิดบนโลกใบนี้กลายเป็น “Data Point” หรือจุดที่เกิดของข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองและสภาพแวดล้อมที่สรรพสิ่งนั้นปรากฏอยู่ เพื่อนำข้อมูลนั้นไปแลกเปลี่ยนและจัดเก็บเพื่อให้ถูกนำไปใช้ประมลผลจนเกิดคุณค่าต่าง ๆ ได้ Gartner ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลกได้ให้ความหมายของ Internet of Things (IoT) ได้อย่างชัดเจนว่า
“IoT หมายถึงเครือข่ายที่ประกอบด้วยสรรพสิ่งทางกายภาพ (Physical things: คน เครื่องจักร สินค้า ฯลฯ) ที่มีอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (Embedded Technology) ที่ถูกฝังตัวอยู่ หรือพกติดตัว หรือติดตั้งไว้กับสรรพสิ่งเหล่านี้เพื่อใช้สำหรับสื่อสารกัน (Communicate) หรือทำให้สามารถรับรู้ได้ (Sense) หรือปฏิสัมพันธ์ได้ (Interact) เกี่ยวกับสถานภาพของตนเอง หรือกับสิ่งแวดล้อมภายนอก (their internal states or the external environment)”

จากที่บรรยายมาข้างต้น Internet of Things (IoT) จึงหมายถึงสิ่งต่าง ๆ (Things) ที่ติดตั้งด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดพิเศษ มีระบบซอฟแวร์ฝั่งตัวและเซ็นเซอร์ เพื่อจัดทำและส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสิ่งที่มีกายภาพอื่นผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นผลให้สิ่งต่าง ๆ นั้นถูกรับรู้ได้ ติดตามได้ และควบคุมจากสถานที่ห่างไกลได้ IoT จึงเป็นเทคนิคสำคัญที่ใช้เพื่อการเชื่อมโยงระหว่างสรรพสิ่งมี่มีกายภาพในโลกกับโลกคอมพิวเตอร์หรือโลกดิจิทัล โดยจะนำข้อมูลของสรรพสิ่งมาประมวลผลด้วยโปรแกรมซอฟต์แวร์ในโลกดิจิทัลเพื่อให้เกิดผลในเชิงบริหารจัดการ ติดตามประเมินผลแล้วตัดสินใจเลือกมาตรการเพื่อปฏิบัติต่อสรรพสิ่งเหล่านี้ตามสถานการณ์ ตั้งแต่การควบคุมเพื่อการทำงานโดยอัตโนมัติ การประเมินสถานภาพของเครื่องจักรกลเพื่อช่วยในเรื่องเกี่ยวกับการบำรุงรักษาและการเปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นส่วนเพื่อป้องกันการหยุดชะงักของเครื่องจักร ตลอดจนช่วยบริหารจัดการการไหลเวียนของชิ้นส่วนวัสดุภายในห่วงโซ่การผลิตไม่ให้หยุดชะงัก และอื่น ๆ เทคโนโลยี IoT จึงเป็นช่วงต่อสำคัญที่ทำให้เกิดการทำงานแบบปฏิสัมพันธ์กันระหว่าง Machine to Machine (M2M)  Human-to-Machine (H2M) และ Machine-to-Human (M2H)   เช่นนายแพทย์สามารถติดตามสุขภาพของผู้ป่วยที่ติดเครื่องกระตุ้นหัวใจจากที่ห่างไกลได้ เครื่องจักรกลที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมสามารถใช้ IoT เพื่อช่วยให้ตรวจสอบสภาพการทำงานและความผิดปกติของการทำงานในทุกระยะแทนหรือเสริมอุปกรณ์ PLC (Programmable Logic Controller) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  

สรรพสิ่งทุกชนิดตั้งแต่งสิ่งของและวัตถุชิ้นใหญ่ ๆ จนถึงชิ้นเล็ก ๆ ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเช่นเครื่องกลเล็ก ๆ ที่ฝังตัวในร่างกายเพื่อการรักษาโรค สิ่งของและวัตถุเหล่านี้ถูกกำหนดให้มีเลขประจำตัวที่ไม่ซ้ำกัน (Unique Identification, UID) และเลขที่อยู่ในระบบอินเทอร์เน็ต (Internet Protocol (IP) Address) สิ่งของและวัตถุเหล่านี้เชื่อมโยงกันโดยอาศัยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขนาดต่าง ๆ กันตั้งแต่ RFID จนถึง Sensors ทุกรูปแบบ การสื่อสารทำได้ด้วยระบบไร้สายและมีสาย ทั้งระยะสั้นเช่น Bluetooth, Near Field Communication (NFC) และ WiFi จนถึงระยะไกลเช่นระบบสื่อสารดาวเทียม และเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cellular Network) วัตถุประสงค์ของการเชื่อมต่อกันก็เพื่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปประมวลผลจนก่อเกิดประโยชน์นา ๆ ประการอย่างที่ไม่สามารถทำได้ในอดีต ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้โลกกายภาพกับโลกดิจิทัลถูกหล่อหลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใช้ศักยภาพของแต่ละโลกสร้างคุณค่าให้แก่มนุษย์อย่างมหาศาล คุณค่านี้เกิดจากความสามารถที่คนกับเครื่องจักรเริ่มร่วมทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อาศัยจุดเด่นของคนที่ถนัดใช้ประสบการณ์และสมรรถนะรวมทั้งทักษะการตัดสินใจเพื่อสร้างคุณค่า ในขณะที่เครื่องจักรอาศัยความรวดเร็วในการบันทึกข้อมูลและความสามารถในการวิเคราะห์สังเคราะห์ข้อมูลมหาศาลทั้งในทางลึกและทางกว้าง ทั้งสองสิ่งต่างส่งเสริมกันทำให้เกิดประโยชน์ทั้งในระดับบุคคลและกับธุรกิจ ในทางธุรกิจ IoT ทำให้เครื่องจักรในโรงงานสามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับรถขนสิ่งสินค้า ทำให้รู้ปริมาณวัสดุหรือชิ้นส่วนและเวลาที่สิ่งของจะส่งมาถึงโรงงาน เพื่อจะได้เตรียมล่วงหน้าในการจัดกระบวนการผลิตให้เหมาะสม เครื่องจักรในโรงงานสามารถติดต่อสื่อสารกับคลังสินค้าเพื่อคลังสินค้าจะได้รับรู้ปริมาณสินค้าที่จะถูกส่งมาเก็บรักษาเพื่อจะได้บริหารจัดการการจัดส่งให้ลูกค้าปลายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างชิ้นเล็ก ๆ ที่ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นกับสังคมมนุษย์อันเกิดจากอิทธิพลของเทคโนโลยีสมัยใหม่

เพื่อให้เข้าใจลักษณะการทำงานของ Internet of Things ในภาพใหญ่ ลองจินตนาการณ์ว่าอินเทอร์เน็ตเป็นเสมือนสายไฟที่เชื่อมโยงกลุ่ม IoT เสมือนหนึ่ง Wiring เส้นเล็ก ๆ ที่เชื่อมโยงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ บนแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic circuit board) ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรากฏ



 รูปที่ 1 การสร้างเครือข่ายระบบงานด้วย IoT เปรียบเสมือนกับเป็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (ที่มาของรูปแผงวงจร: Google.com)

                  บนแผงวงจรเปรียบเสมือน Internet of Things ที่ประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมโยงกับสิ่งของหรือวัตถุต่าง ๆ ในโลกกายภาพ ทำให้สรรพสิ่งเหล่านี้กลายเป็น Data Point ที่รับส่งข้อมูลจากสรรพสิ่งอื่น ๆ ในโลกได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ผลที่ได้คือทั้งคน เครื่องจักร สินค้า สถานที่ และอื่น ๆ สามารถถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกันเพื่อมุ่งหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งเปรียบเสมือนกับแผงวงจรไฟฟ้าที่ถูกออกแบบให้ทำงานด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น IoT จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของการออกแบบระบบงานสมัยใหม่เพื่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างสรรพสิ่งในโลกกายภาพกับข้อมูล กระบวนการ และการบริการต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในโลกดิจิทัล นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ทำให้เกิดคุณค่าแก่ผู้ในเกี่ยวข้องอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในยุคของเศรษฐกิจดิจิทัล
  
                การออกแบบระบบงานที่ใช้ IoT อุปมากับแผงวงจรไฟฟ้า นอกจากจะได้ประโยชน์มากมายตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ข้อมูลที่ถูกส่งออกสู่ภายนอกจาก Data Points ซึ่งก็คือสรรพสิ่งที่ถูกทำให้เป็น Internet of Things นั้น จะช่วยให้เราติดตาม (Track) สถานภาพการทำงานของสรรพสิ่งแบบเรียลไทม์ได้อย่างต่อเนื่องแล้ว โดยเฉพาะการแปลงบุคคลที่พกพาสมาร์ทโฟนติดตัวให้เป็น Data Points ได้ด้วยนั้นเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่ก่อเกิดประโยชน์มหาศาลรวมทั้งทำให้เกิดการปฏิรูปธุรกิจครั้งใหญ่ที่จะตามมา ความสามารถที่จะทำการสกัดข้อมูลจากสิ่งของทางกายภาพรอบตัวเราตั้งแต่อุปกรณ์ เครื่องจักร ของใช้ในครัวเรือน และสินค้าต่าง ๆ ทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภคจะช่วยให้เราทำการวิเคราะห์และสังเคราะห์จากข้อมูลมหาศาลนี้เพื่อเกิดประโยชน์ในการรับรู้สิ่งที่ได้เกิดขึ้นและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างมีหลักการแทนที่จะใช้วิธีเดาสุมอย่างในอดีต ทำให้เราสามารถเรียนรู้แนวทางปฏิบัติในอดีตและแนวโน้มของอนาคตตลอดจนพฤติกรรมของผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจการงานด้านต่าง ๆ ทั้งหมดนี้เป็นองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์มหาศาลต่อการวางแผนในทุก ๆ ระดับ สรรพสิ่งและอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงกันจะส่งข้อมูลเป็นการรายงานผลการทำงาน สภาพทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับตนเอง รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามที่ถูกกำหนด ข้อมูลมหาศาลเหล่านี้ถูกนำไปวิเคราะห์และนำไปสู่การกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม และเมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มารวมกับข้อมูลอื่นจากเครือข่ายสังคม และจาก Data Points อื่น ๆ เช่นอุปกรณ์ Sensors และตัวคนเราด้วย ทำให้เกิดประโยชน์นา ๆ ประการยากเกินกว่าจะจินตนาการณ์ และเมื่อรวมกับความสามารถที่มีอยู่เดิม เช่นการทำงานแบบอัตโนมัติ ความสามารถในการคาดคะเนล่วงหน้า (Predictive analytics) ความสามารถในการใช้ Artificial Intelligent กับเครื่องจักรกล ทำให้แนวทางแข่งขันการทำธุรกิจจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แน่นอนธุรกิจที่สามารถปรับใช้ความสามารถของ Internet of Things และการใช้ Data Analytics ได้ดีย่อมจะมีศักยภาพการแข่งขันที่สูงกว่าอย่างแน่นอน 

ยังมีต่อครับ….




[1] Ashton, Kevin (June 22, 2009). "That 'Internet of Things' Thing, in the real world things matter more than ideas". RFID Journal.